วันอาทิตย์ที่ 29 สิงหาคม พ.ศ. 2553

วิธีการใช้กระโจมอยู่ไฟ.MOV

ดูสินค้าเพิ่มเติมได้ที่






















สั่งซื้อสินค้าได้ที่
Email:yatha22@hotmail.com
Tel: 081-3571859

กระโจมอยู่ไฟ มี 3 ขนาด
1. กระโจม ขนาดเล็ก ราคา 400 บาท
ผลิดจากผ้าอย่างดี มีช่องเอาไว้ดูเวลา ในการอบตัว ใช้โครงลวดสำหรับเป็นแกนด้านบน

2. กระโจม ขนาดกลาง ราคา 500 บาท 60x60cm.
ผลิดจากผ้าอย่างดี มีช่องเอาไว้ดูเวลาในการอบตัว ใช้โครงไม้เป็นแกนด้วนบน(ภาพด้านบน
เป็นกระโจมอยู่ไฟ ขนาดใหญ่

3. กระโจมขนาดใหญ่ ราคา 600 บาท 90 x 90 cm.

ราคาสั่งซื้อกระโจมอยู่ไฟ ยังไม่รวมค่าขนส่ง
สนใจสมุนไพรอยู่ไฟดูข้อมูลได้ที่
http://kasidit-herbal.blogspot.com/2008/09/45_18.html

สั่งสินค้าได้ที่
www.thai-herbalsx.com
Email:yatha22@hotmail.com 


สนใจติดต่อสั่งซื้อได้ที่ 081-3571859

วิธีการใช้ลูกประคบ

ดูสินค้าเพิ่มเติมได้ที่


สั่งซื้อสินค้าได้ที่
Email:yatha22@hotmail.com
Tel: 081-3571859

ลูกประคบแห้ง ลูกละ 45 บาท 100 กรัม

จำหน่ายสมุนไพรอบตัวด้วยสมุนไพรสด และ ลูกประคบ สมุนไพรสด 081-3571859
ทางร้านจำหน่ายสมุนไพรอบตัวด้วยสมุนไพรสด และลูกประคบ สด

1.สมุนไพรอบตัวด้วยสมุนไพรสด นั้น 1 ถุง/ ใช้ได้ 3 ครั้ง ราคา 50 บาท เมื่อใช้แล้วนำเข้าตู้เย็นช่องฟรีซ (ห่อด้วยถุงพลาสติกให้แน่นหนา) เมื่ออบตัวแล้วน้ำสมุนไพรที่อยู่ในหม้อสามารถนำมาผสมกับน้ำอุ่นเพื่ออาบได้เป็นอย่างดี ควรใช้อย่างน้อย 5 ถุง สมุนไพรสดนี้สามารถเก็บเอาไว้ได้ 1 เดือนหลังจากที่ซื้อและ ควรเก็บสมุนไพรอบตัวด้วยสมุนไพรสดนี้ที่ช่องฟรีสเท่านั้น

 ทำไมถึงต้องใช้สมุนไพรสดอบตัว

สมุนไพรสดจะได้คุณค่าของตัวยาที่มากกว่าและสดชื่นมากกว่า การที่ใช้สมุนไพรอบแห้ง อาจจะทำให้คุณภาพของสมุนไพรลดลงบ้าง

ข้อดีและข้อเสียของสมุนไพรสด และ สมุนไพรอบแห้ง

ข้อดีของสมุนไพรสด คือสดชื่นกว่าและได้คุณภาพที่มากกว่า
ข้อเสีย เก็บไม่ได้นาน (1เดือนในช่องฟรีซ)
ราคาแพงกว่า และสมุนไพรบางตัวอาจจะหาไม่ได้ในช่วงนั้น ๆ (บางฤดูมีและไม่มีหายากและแพง)

 ข้อดีของสมุนไพรอบแห้ง ได้สมุนไพรที่ครบมากกว่า เก็บได้นานกว่า (1ปี) ราคาถูกกว่า
 ข้อเสียของสมุนไพรอบแห้ง อาจจะสดชื่นน้อยกว่า และคุณภาพสรรพคุณของยาอาจจะลดน้อยกว่านิดหน่อย

2. ลูกประคบสมุนไพรสด ราคา 50 บาท ต่อ1 ลูก
    เพื่อสรรพคุณที่มากกว่าซึมเข้าร่างกายมากกว่าแก้ปวดได้มากขึ้น


ทางร้านมีบริการส่งสินค้า (เนื่องจากสมุนไพรสดจำเป็นต้องใช้ความเย็นในการเก็บรักษา)
ในการส่งสินค้านั้นจะใช้แท็กซี่ในการส่ง ทางร้านมีแท็กซี่เจ้าประจำเชื่อถือได้และไม่โกง(เพื่อนบ้านของแม่ค้าเองค้า)
เค้าจะกดมิตเตอร์จากทางร้านเพื่อไปส่งให้ลูกค้าจะคิดค่าส่งตามมิตเตอร์จริง ในการส่งสินค้า
แท็กซี่จะออกจากร้านช่วงเช้าประมาณ 6 โมงเช้า- 7 โมงเช้า(ช่วงเวลารถไม่ติด)เพื่อนำไปส่งให้ลูกค้าคะ

ในการสั่งของสั่งได้โดยการโทรสั่ง 081-3571859
และโอนเงินค่าสินค้าให้กับทางร้านก่อน เมื่อรับสินค้าแล้วจ่ายค่าส่งกับทางรถแท็กซี่ได้เลยคะ
พี่เค้าชื่อพี่ช่วย (ทางร้านต้องการช่วยพี่คนนี้เนื่องจากมีลูก3 คนและพึ่งเกิดใหม่อีก1คนคะ ช่วย
อุตหนุนพี่เค้าด้วยนะคะขอบคุณมากคะ ลูกเค้าอีก 2 คนก็มาช่วยทางร้านผลิตสินค้าเป็นการช่วย
แบ่งเบาภาระพี่เค้าอีกทางนะคะ)

วิธีการทำนั่งถ่านกระชับช่องคลอด 1.MOV

ดูสินค้าเพิ่มเติมได้ที่



สั่งซื้อสินค้าได้ที่
Email:yatha22@hotmail.com
Tel: 081-3571859

วิธีการทำนั่งถ่านกระชับช่องคลอด 2.MOV









ความสุขของภรรยาขณะมีเซ็กซ์กับสามี มักอยู่ที่การเล้าโลมและการใส่ใจ…
*ในขณะที่ฝ่ายสามี ความสุขทางเซ็กซ์จากเพศสัมพันธ์กับภรรยา จะอยู่ที่การสัมผัสรัดรึงรอบเอกลักษณ์ของเอกบุรุษ
*สรุปว่า กิจกรรมทางเพศ…ผู้ชายจะให้ความสำคัญกับผิวเนื้อส่วนสัมผัสเนื้อ ณ บริเวณจุดศูนย์รวมความบันเทิง ถ้าช่องคลอดมีความกระชับรับสัมผัสโอบล้อมรอบได้ดี อย่างนี้ฝรั่งบรรยายว่า Exciting vagina ดีกว่าถูกตราหน้าว่า low quality เพราะความหลวม

หลายคนสงสัยว่า ภาวะช่องคลอดหลวม มีสาเหตุจากอะไรได้บ้าง ตัวอย่างคำถามจากจดหมาย…







" ผ้าอนามัยแบบสอดทำให้ช่องคลอดหลวมได้หรือไม่คะ"
" การสำเร็จความใคร่ด้วยตัวเองบ่อยๆ จะทำให้ช่องคลอดหลวมได้หรือเปล่าคะ"

*ในความเป็นจริงแล้ว การสอดใส่สิ่งใดๆ ในช่องคลอดแค่ทำให้เยื่อพรหมจารีย์ฉีกขาดเท่านั้น แต่ไม่ถึงกับมีผลทำให้ช่องคลอดหลวม ไม่ว่าจะเป็นผ้าอนามัยชนิดสอด การสำเร็จความใคร่ด้วยตนเอง หรือการร่วมเพศ…มีสาเหตุกรณีเดียวเท่านั้นคือ การคลอดบุตรทางช่องคลอดตามธรรมชาติ หลังคลอดบุตรแล้ว ผู้หญิงบางคน ช่องคลอดสูญเสียความสามารถในการบีบรัดตัวโดยธรรมชาติ ช่องคลอดจะมีความยืดหยุ่นสูง สามารถขยายตัวได้กว้างขวางจนเด็กทารกสามารถผ่านออกมาสู่สายตาชาวโลกได้ แต่ในขณะเดียวกัน ก็มีความสามารถในการบีบรัดตัวได้อย่างมาก เพราะกล้ามเนื้อรอบช่องคลอดเป็นกล้ามเนื้อที่แข็งแรงที่สุดมัดหนึ่งของร่างกาย

*แข็งแรงขนาดที่เรียกว่า เจ้าสาวมือใหม่บางราย…ที่ไม่ใช่ 'เจ้าสาวมืออาชีพ' เกิดอาการเกรงกลัวการมีเพศสัมพันธ์ กลัวจนเกร็ง และเกร็งจนฝ่ายเจ้าบ่าวไม่สามารถ เติมคำลงในช่องว่างได้ ประตูแห่งสวรรค์ปิดสนิทแนบแน่น ไม่ว่าเจ้าบ่าวจะเคาะประตูก็แล้ว ดันประตู จนถึงขั้นกระแทกประตูจนบอบช้ำทั้งสองฝ่าย ก็ไม่สำเร็จ…ภาวะอย่างนี้เรียกว่าช่องคลอดเกร็งตัวจนไม่สามารถร่วมเพศได้ ภาษาอังกฤษเรียก Vaginismus… รัดไม่รู้คลาย เป็นในบางราย นานๆ เจอที


*อาการที่บ่งบอกว่ามีภาวะช่องคลอดหลวมคือ มีการระบายอากาศออกเวลามีเพศสัมพันธ์ ภาษาชาวบ้านพูดสั้นๆ ว่า' มีลมออก' เพราะระหว่างการร่วมเพศ หากช่องคลอดหลวมจะมีอากาศอัดเข้าไปเก็บตัวไว้ภายในช่องคลอด พอขยับตัวอากาศถูกดันตัวออก ส่งเสียงประจาน…

ผู้หญิงหลายคนไปหาหมอสูติฯ เพื่อขอทำรีแพร์ (repair) เรียกทั่วไปว่า 'ทำสาว'…ซึ่งในความเป็นจริงแล้ว โดยทั่วไป การทำรีแพร์ แพทย์จะเย็บผนังช่องคลอดให้ตึงเท่านั้น …แต่กล้ามเนื้อโดยรอบยังหลวมอยู่ ไม่มีแรงพอในการบีบรัด…มีหมอสูติฯ บางท่านที่มีการเย็บกล้ามเนื้อบ้าง
วิธีที่ได้ผลดีที่สุดคือ การฝึกขมิบ เพราะกล้ามเนื้อเป็นผู้รับผิดชอบ งานบีบรัด
เริ่มต้นราวห้าสิบปีก่อน Dr. Arnold H. Kegel ซึ่งเป็นสตินรีแพทย์เป็นผู้คิดค้นเทคนิคนี้ เพื่อรักษาผู้ป่วยหญิงที่มีอาการกลั้นปัสสาวะไม่อยู่ ปรากฏว่า ทำไปทำมา นอกจากอาการกลั้นปัสสาวะไม่อยู่จะดีขึ้นแล้ว ยังมีผลดีต่อเพศสัมพันธ์อีกด้วย ทั้งสามีก็รู้สึกรับสัมผัสดีขึ้น ฝ่ายผู้หญิงก็รู้สึกถึงจุดสุดยอดได้ดีกว่าเดิม


เทคนิคดังกล่าวจึงได้รับการขนานนามว่า Kegel exercise
ทดลองทำโดยควบคุมกล้ามเนื้อเพื่อหยุดสายน้ำปัสสาวะเป็นระยะๆ หรือพูดง่ายๆ ว่าขมิบก้น แบบเดียวกับตอนกลั้นอุจจาระอย่างสุดชีวิต…เพื่อรักษาหน้าตาของวงศ์ตระกูล

เพราะกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกราน (Pubococcygeus muscle หรือเรียกสั้นๆ ว่ากล้ามเนื้อ PC) จะอยู่โดยรอบและครอบคลุมท่อปัสสาวะ ช่องคลอดและช่องทวารหนักมันเป็นกล้ามเนื้อมัดเดียวกันที่หมุนวนเป็นเลข 8 จุดตัดอยู่บริเวณฝีเย็บ…เวลาขมิบก็เกร็งขมิบทั้งมัด เวลาคลายตัวก็คลายตัวหมดทั้งมัด…นึกภาพดูง่ายๆ เวลาเราถ่ายอุจจาระ จะมีปัสสาวะออกด้วย เวลาปัสสาวะ บางครั้งมีผายลม เพราะเป็นกล้ามเนื้อชุดเดียวกัน



การปฏิบัติมิใช่แค่ขมิบแล้วคลายทันที แต่ต้องทำเหมือนคนเล่นกล้าม-ขมิบ เกร็งไว้ราว 10 วินาที (นับ 1-10) แล้วค่อยคลาย…อย่างนี้เรียกว่า 1 ครั้ง

การฝึกขมิบช่วงแรกๆ ให้เริ่มวันละน้อยๆ ครั้ง เพราะทำใหม่ๆ จะเหนื่อยง่าย เดี๋ยวจะหมดแรงเสียก่อน แล้วค่อยๆ เพิ่มจำนวนครั้งขึ้นเรื่อยๆ …แนะนำว่ายิ่งทำมากเท่าไร ก็ยิ่งได้ผลดีเท่านั้น หมอสูติฯ ทั่วไปแนะนำขมิบวันละ 100-300 ครั้ง แต่ไม่ต้องทำรวดเดียวจบ เสนอให้แบ่งเป็นหลังอาหารสามเวลา เสาร์-อาทิตย์ และวันหยุดนักขัตฤกษ์เพิ่มรอบดึกได้…

บางท่านบอกให้ทำเป็นชุดๆ ละ 10 ครั้ง วันหนึ่งทำ 10-30 ชุด อย่างนี้จำง่ายกว่า และเคยเขียนเป็นกลอน เพื่อให้ท่องจำง่าย…ถ้าแคบนักมักคับขยับยาก ถ้ากว้างมากยากสัมผัสรัดไม่ไหว ถ้ากระชับรับสัมผัสรัดตรึงใจ

ฝึกขมิบไว้ใช้งานดีไม่ต้องรีแพร์


อาจารย์หมอพันธ์ศักดิ์ ศุกระฤกษ์ ได้กล่าวไว้บ่อยครั้งในงานบรรยายและงานเขียน เพื่อสอนให้หญิงหลังคลอดหมั่นขมิบกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกรานให้กระชับ เพื่อการมีเพศสัมพันธ์ที่ดี โดยให้ท่องจำว่า ขมิบวันละร้อย เมียน้อยไม่ตามมาราวี

แต่ผมว่าจริงๆ แล้ว หากฝ่ายภรรยาปฏิบัติอย่างนี้จริงๆ น่าจะส่งผลในทางตรงกันข้าม เพราะสามีจะกลับตัวกลับใจละทิ้งภรรยาน้อย มาใกล้ชิดสนิทแอบอิงพิงภรรยามากกว่าใครอื่น

หากเป็นเช่นนั้นแล้ว " ขมิบวันละร้อย เมียน้อยจะตามมาราวีเพื่อยื้อยุดฉุดสามี เพราะตอนนี้มาจู๋จี๋อยู่กับคุณ"

ขอแนะนำเทคนิคง่าย ที่จะทำให้ช่องทางรักของหนูจุ๋มจิ๋มเกิดการฟิตเต็มที่คลอดแนวรบภายใน

เริ่มจากนั่งตัวตรงบนเก้าอี้ ('@'-เริ่มจากนั่งตัวตรงบนเก้าอี้)

ห้อยขาสองข้างวางบนพื้นแบบสบาย ๆ จากนั้นให้เอามือสองข้างวางประสานที่หน้าตัก ยืดตัวขึ้นเต็มที่ แขม่วท้องแล้วก็ขมิบก้นเหมือนเวลากลั้นถ่ายอุจจาระนั่นแหละ นับ 1 – 10 ช้า ๆ แล้วปล่อย ทำใหม่ซ้ำ ๆ กันให้ได้วันละ 50 ครั้ง จะทำเป็นชุด ๆ ละ 10 ครั้ง หรือจะปฏิบัติการทีเดียวก็ได้แล้วแต่สะดวก


**พอทำได้จนเกิดความเคยชิน และชำนาญแล้ว ค่อยเลื่อนเป็นปฏิบัติการขั้นที่สอง จัดการนอนหงายราบ ศีรษะหนุนหมอนพอสบาย นอนชันขาทั้งสองข้างขึ้น ขาชิดกัน ต่อจากนั้นก็ยกสะโพกขึ้น แขม่วท้องและขมิบก้นตามวิธีการเช่นเดียวกับท่านั่ง….จนเกิดความชำนาญแล้วทำเป็นกิจวัตรประจำวัน

ถ้าทำได้เช่นนี้แล้ว ไม่นานเกินรอประมาณ 6 เดือนผ่านไป…จะเริ่มรับรู้ถึงการเปลี่ยนแปลงที่ทำให้ความฝันกลายเป็นจริง
ใคร ๆ เขาว่าเป็นท่าบริหารผัวหลงกันทั้งนั้น!!!!!!!!!!

หรือ ถ้าอยากกระชับไว้ก็คงต้องใช้เทคนิคช่วย

ขายดีมากคะ ลูกค้าซื้อไปแล้วไม่มีผิดหวังเลยคะ เพราะสินค้าเราทำจากสมุนไพร





สินค้าประกอบด้วย


1. ผงสมุนไพรนั่งถ่าน 7 วัน


2. แท่งถ่านสมุนไพร วิธีใช้ให้หักครึ่งและนำไปจุดไฟ


การนั่งถ่าน


กิจกรรมนี้คนโบราณนิยมนำมาใช้ดูแลสตรีหลังการคลอดบุตร โดยนั่งบนเก้าอี้ที่เจาะรูตรงกลาง หรือ ยืนคล่อมเตาถ่าน และมีเตาถ่านที่ติดไฟอยู่ด้านล่างพร้อมทั้งสมุนไพรที่ใช้โรยบนถ่าน ให้เกิดความร้อนและไอระเหยของสมุนไพร ที่ลอยขึ้นไปสัมผัสบาดแผลบริเวณปากช่องคลอด เพื่อให้บาดแผลที่บริเวณปากช่องคลอดแห้ง และช่วยกระตุ้นกล้ามเนื้อบริเวณนั้นให้กระชับกลับคืนสู่สภาพปกติ ทำให้มดลูกเข้าอู่ได้เร็ว และยังป้องกันการเกิดระดูก (ตกขาว) อีกด้วย จะทำกันวันละประมาณ  15 นาที เป็นระยะเวลาไม่เกิน 15 วัน


แต่ในปัจจุบันการคลอดส่วนมากจะคลอดที่โรงพยาบาล และหลังการคลอดก็จะได้รับการส่องด้วยหลอดไฟที่บริเวณปากช่องคลอดทุกวัน จนถึงวันกลับบ้าน นอกจากนี้สาเหตุที่ไม่ใคร่จะนิยมทำกันเพราะหาอุปกรณ์ยุ่งยาก และ ไม่รู้ว่าจะหาที่ไหน


สมุนไพรที่ใช้ในการนั่งถ่าน


ประกอบด้วย ว่านนางคำ ไพล ขมิ้นอ้อย หมากแดง เปลือกต้นชะลูด ผิวมะกรูดแห้ง ว่านน้ำ ว่านชักมดลูก ใบหนาด ใบคนทีสอ การบุร และ พิมเสนใช้เพียงเล็กน้อย สมุนไพรเหล่านี้ก่อนจะนำมาใช้ ต้องหั่นให้ละเอียดบดและเป็นผงสำหรับโรยที่เตาถ่าน


อุปกรณ์ที่ใช้นั่งถ่าน


1. เตาถ่านขนาดเล็ก


2. สมุนไพรสำหรับโรย


3. ผ้าถุงสำหรับนุ่ง


วิธีการนั่งถ่าน (ยืนถ่าน)


1. เอาแท่งถ่านที่หักครึ่งจุดในถาดดินเผา หรือ กระเบื้อง


2. ให้โรยตัวยาสมุนไพรที่เตรียมไว้ลงในเตาถ่านที่ละน้อย ทำให้เกิดควันหรือไอระเหยของสมุนไพรที่ถูกเผาไหม้นั้น จะช่วยรมทำให้บริเวณปากช่องคลอดแห้ง กล้ามเนื้อกระชับตัวได้เร็วขึ้น


3. จากนั้นยืนคร่อมเตาไฟ หรือเอาเก้าอี้พลาสติกเตี้ยมีรูนั่งเพื่อให้ควันหรือไอความร้อนจากสมุนไพรที่ถูกเผาไหม้ รมบริเวณปากช่องคลอดและเข้าสู่มดลูก


4. เมื่อควันหรือไอของสมุนไพรที่เผาไหม้นั้นน้อยลง ให้โรยสมุนไพรเพิ่มเติมได้ แต่เติมทีละน้อย ทำเช่นนี้เรื่อย ๆ ประมาณ 15 นาที (ไม่ควรเกิน 30 นาที) ควรทำเพียงวันละ 1 ครั้งก็พอ และส่วนมากทำกันประมาณ 7-15 วัน




ราคานี้ยังไม่รวมค่าจัดส่งสินค้าคะ




081-3571859



วันอาทิตย์ที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2553

อยู่ไฟแบบโบราณ 0813571859

การอยู่ไฟแบบไทยโบราณ

1 . การอาบน้ำสมุนไพร(ถุงผ้าสมุนไพรเป็นแบบชนิดเดียวกัน) โดยทั่วไปใช้น้ำตะไคร้สดเป็นสมุนไพรที่สำคัญ เนื่องจากเป็นสมุนไพรที่ใช้ลดกลิ่นคาวอันเกิดจากน้ำนมและน้ำคาวปลา นอกจากนี้อาจผสมด้วยไพล ใบมะขาม ผิวมะกรูด กลิ่นของสมุนไพรทำให้ร่างกายหอมสดชื่น คุณแม่จะผ่อนคลายจากการได้อาบน้ำสมุนไพรและผิวพรรณจะสดชื่นแจ่มใส


สรรพคุณ ช่วยเพิ่มการไหลเวียนของโลหิต
ขับถ่ายของเสียออกทางผิวหนัง
ลดน้ำหนัก ละลายไขมันส่วนเกิน
บำรุงผิว ช่วยกระจายเลือดลม
ทำให้ทางเดินหายใจสดชื่น
ฟื้นฟูสภาพสตรีหลังคลอดบุตร
ขับน้ำคาวปลา และทำให้น้ำนมไหลดี

ส่วนประกอบ ไพล,ตะไคร่หอม,ผิวมะกรูด,ใบมะกรูด,ใบมะขาม,
ใบส้มเสี้ยว,ใบส้มป่อย,ใบแจง,เปลือดส้มโอ,คลอด คุณแม่หลังคลอด
ว่านนางคำ,พิมเสน,การบูร,ขมิ้นอ้อย,ขมิ้นชัน
วิธีใช้ สมุนไพร 1 ห่อ ประกอบด้วยสมุนไพรอบแห้ง ใช้ 1 ถุง
ต่อ น้ำ 1-2 ลิตร แล้วใช้อบตัวด้วยกระโจม หรือ ตู้อบ หรือ
ต้มอาบ 1 ถุง ใช้ได้ 2-3 ครั้ง
ราคา 250 บาท ต่อ 1 ชุด (1 ชุด มี12ถุง)

2.นวดผ่อนคลาย เป็นการนวดแบบพิเศษเพื่อผ่อนคลายกล้ามเนื้อและกระตุ้นการทำงานของต่อมน้ำเหลืองใต้ผิวหนัง เพื่อให้ร่างกายได้ขับของเสีย ได้เป็นอย่างดี

3 . การประคบสมุนไพรประคบทั้งศีรษะและร่างกาย คลายความเมื้อยล้า และปวดเมื่อยของร่างกายที่ต้องอุ้มท้องตลอด 9 เดือนที่ผ่านมา


ราคา 45 บาท ต่อ 1 ลูก 1 ชุดมี 4 ลูก ราคา 180 บาท
4 . การทับหม้อเกลือ มีจุดประสงค์ในการทำให้มดลูกแห้งและกลับเข้าอู่แล้วยังช่วยให้บรรเทาอาการปวดกล้ามเนื้อเกือบทุกส่วนโดยเฉพาะอย่างยิ่งบริเวณแผ่นหลัง การทับหม้อเกลือ หากทำให้ถูกวิธี และผู้ให้บริการมีความชำนาญ จะสามารถบำบัดความผิดปกติของร่างการได้อีกหลายกรณี

5 . การทับอิฐเพื่อช่วยคลายความปวดเมื่อย และบรรเทาอาการบวมน้ำ

6 . การใช้น้ำมันงาใช้น้ำมันงาลูบไล้เซลล์ที่ตาย และสิ่งสกปรกออกจากร่างกาย ผิวคุณแม่จะสดใสหลังการใชบริการนี้ (บริการนี้ จะทำให้ในวันที่ 2 และวันสุดท้ายของการบริการ)

7 . การเข้ากระโจมอบสมุนไพรเพื่อขับของเสียออกจากร่างกายทางผิวหนัง และทำให้ดวงตาสดใส ไม่ขุ่นมัวเมื่อมีอายุมาก

กระโจมอยู่ไฟ มี 3 ขนาด
1. กระโจม ขนาดเล็ก ราคา 400 บาท
ผลิดจากผ้าอย่างดี มีช่องเอาไว้ดูเวลา ในการอบตัว ใช้โครงลวดสำหรับเป็นแกนด้านบน
2. กระโจม ขนาดกลาง ราคา 500 บาท
ผลิดจากผ้าอย่างดี มีช่องเอาไว้ดูเวลาในการอบตัว ใช้โครงลวดเป็นแกนด้านบน
3. กระโจมขนาดใหญ่ ราคา 600 บาท
ผลิตจากผ้าอย่างดี มีช่องเอาไว้ดูเวลาในการอบตัว โครงด้านบนเป็นไม้ กระโจมจะเป็นสี่เหลี่ยม

ราคาสั่งซื้อกระโจมอยู่ไฟ ยังไม่รวมค่าขนส่งและบรรจุภัณฑ์ นะคะ

สนใจสมุนไพรอยู่ไฟดูข้อมูลได้ที่
http://kasidit-herbal.blogspot.com/2008/09/45_18.html


8 . การดื่มน้ำสมุนไพรไทยดื่มน้ำต้มสมุนไพร เพื่อขับลมและกระตุ้นการหมุนเวียนของร่างกาย และทำให้ร่างกายอบอุ่น เช่น ชาตะไคร้


ประโยชน์ บำรุงธาตุไฟ ขับลมในลำไส้ แก้ท้องอืด ลดไขมันในเส้นเลือด
รสเย็นสบาย บำรุงหัวใจ
วิธีรับประทาน
ใส่ชาตะไคร้เตยหอมในน้ำต้มเดือด ทิ้งไว้จนชาออกรสดี (หรือต้มในน้ำเดือด)
ชอบหวานใส่น้ำตาลพอประมาณ

1 ห่อ ราคา 30 บาท

9 . การอาบน้ำสมุนไพรทำการอาบน้ำสมุนไพรอุ่นอีกครั้ง เพื่อทำให้ร่างกายสะอาด เตรียมให้นมบุตรในครั้งต่อไป

10 . ชุดอยู่ไฟหลวงการใช้ชุดอยู่ไฟหลวง (เข็มขัดอยู่ไฟ)



ชุดอยู่ไฟหลวง (เข็มขัดอยู่ไฟ) ชุดละ 350 บาท ใช้ได้ 7 วัน
ประกอบด้วย กล่องเหล็ก 2 กล่อง
ผ้าคาดเอว 1 ผืน
แท่งถ่านสมุนไพร 32 แท่ง ใช้ได้ 7 วัน
ประโยชน์ของการใช้เข็มขัดอยู่ไฟ
1.ช่วยขับน้ำคาวปลา ทำให้มดลูกแห้งและเข้าอู่เร็วขึ้น ทำให้หน้าท้องยุบ
2.ช่วยบรรเทาอาการปวดท้องขณะมีประจำเดือน
3.ช่วยบรรเทาอาการปวดหลัง, ปวดขา, ช่วยให้การหมุนเวียนของเลือดดีขึ้น
4.ช่วยเพิ่มความอบอุ่นให้กับร่างกาย

ระยะเวลาในการอยู่ไฟในสตรีที่คลอดธรรมชาติควรจะเริ่มทำกิจกรรมอยู่ไฟหลังจากครบกำหนด 7 วัน เพราะร่างกายต้องค่อยๆ ปรับตัวจากภาวะที่เสียเลือดและน้ำจากการคลอดบุตร ในกรณีคลอดด้วยการผ่าตัดทางหน้าท้อง ควรจะเริ่มทำกิจกรรมอยู่ไฟหลังจากผ่าคลอดแล้วอย่างน้อย 30 วันถึง 45 วัน เนื่องจากแผลผ่าตัดเป็นแผลที่มีหลายชั้นและเพื่อให้แผลผ่าตัดแห้งสนิทก่อน

การอยู่ไฟสำหรับคุณแม่คนใหม่เวลาที่เหมาะสมที่สุดคือ 15 วัน หากไม่มีเวลาจริงๆอาจใช้เวลา 7 วันเป็นอย่างน้อย บุตรคนที่ 2 อยู่ไฟได้ 10-15 วัน บุตรคนที่ 3 อยู่ไฟได้ 10 วัน

การอยู่ไฟ
การอยู่ไฟเป็นกระบวนการดูแลหลังการคลอดซึ่งคนไทยคุ้นเคยกับคำนี้มาเป็นเวลานานแต่ไม่ทราบวิธีการปฏิบัติและขั้นตอนต่างๆของกระบวนการเหล่านี้ แพทย์แผนปัจจุบันตอบคำถามของอาการอันเกิดจากการไม่ได้อยู่ไฟว่า เกิดจากสมองส่วนที่ควบคุมอุณหภูมิในร่างกายทำงานผิดปกติ เพราะขาดฮอร์โมนเอสโตรเจน จึงทำให้เกิดอาการ้อนวูบวาบหรือหนาวสะท้านในหญิงวัยหมดประจำเดือน (วัยทอง)

แต่ในหญิงวัยเจริญพันธ์หรือในวัยที่ยังไม่หมดประจำเดือนบางคนยังคงมีอาการหนาวสะท้าน บางครั้งความหนาวทำให้เจ็บไปถึงภายในร่างกายหรือไม่สามารถควบคุมอุณหภูมิของร่างกายได้เป็นเพราะเหตุใด ในทางการแพทย์แผนไทยตอบคำถามนี้ว่า อาการเหล่านี้เกิดจากภาวะ การเสียสมดุลของธาตุทั้ง 4 ในร่างกาย กระบวนการคลอดและการเบ่งท้องคลอด ร่างกายจะอยู่ในสภาวะที่ทุกส่วนขยายออก แม้แต่เส้นเลือดเส้นเล็กๆ ก็ขยายออกและมีการเสียเลือดเป็นจำนวนมาก

ดังนั้น การจะทำให้สภาวะหลังการคลอดเข้าสู่ปกติได้ดีนั้น จะต้องมีกระบวนการที่ซับซ้อนและจำเป็นจะต้องได้รับการปฏิบัติได้ถูกต้อง






สนใจสินค้าติดต่อ 081-357-1859
Email: yatha22@hotmail.com

วันจันทร์ที่ 21 มิถุนายน พ.ศ. 2553

ขายต้นกล้ามะรุม 30 บาท

ทางร้านมีต้นกล้ามะรุม ขาย จำนวนจำกัด ขนาด 30 cm. แข็งแรงสามารถนำไปปลูกได้เลย
ขายต้นละ 30 บาท (มารับสินค้าได้ที่ร้านกษิดิศ ดูแผนที่ได้ตรงติดต่อเรานะคะ)
กอล์ฟ 0813571859

วันจันทร์ที่ 31 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

ประโยชน์ของใบ ย่านาง (หมอเขียว) ขายชาใบย่านาง



ย่านางเป็นพืชสมุนไพรที่ใช้เป็นอาหารและเป็นยามาตั้งแต่โบราณหมอยาโบราณภาคอีสาน เรียกชื่อยาของย่านางว่า หมื่นปีไม่แก่ พบความมหัศจรรย์ของย่านางครั้งแรก เมื่อคุณแม่ของเขาคนหนึ่งตกเลือดจากมดลูกอย่างรุนแรง หลังจากที่เขาตัดสินใจใช้ย่านาง เป็นสมุนไพรหลักในการบำบัดอาการของคุณแม่ก็ทุเลาอย่างรวดเร็วภายใน 3 วัน เลือดหยุดไหล เมื่อใช้ย่านางอีกบำบัดต่อเนื่องอีก 3 เดือนต่อมา มดลูกที่โต 16 เซนติเมตรก็ยุบลงเหลือเท่าขนาดปกติ คือเท่าผลชมพู่ ผิวมดลูกที่ขรุขระเหมือนหนังคางคกก็หายไป อาการตกขาวก็หายไปด้วย ต่อมาเขาทดลองใช้ย่านางกับผู้ป่วยมะเร็งตับ ผู้ป่วยก็อาการดีขึ้น เมื่อครบ 3 เดือนไปตรวจอัลตราซาวด์ พบว่ามะเร็งฝ่อลง จากนั้นก็ทดลองกับผู้ป่วยโรคเกาต์ให้ดื่มน้ำย่านางต่อเนื่อง 3 เดือน อาการปวดข้อก็หายไป ไปตรวจที่โรงพยาบาลไม่พบโรคเกาต์ ซึ่งทางการแพทย์แผนปัจจุบัน บอกว่าเป็นโรคที่รักษาไม่หาย ได้ทดลองกับผู้ป่วยเบาหวานและความดันโลหิตสูง หลังจากดื่มน้ำย่านางต่อเนื่อง พบว่าสามารถลดน้ำตาลในเลือดและลดความดันโลหิตได้ หลังจากนั้นเขาได้ข้อมูลจากคนแก่อายุ 77 ปีคนหนึ่งที่ดื่มน้ำย่านางต่อเนื่องกัน 1 เดือน พบว่าผมที่เคยขาวกลับเปลี่ยนเป็นสีเทา และมีสีดำแซม ลูกสาวของคนแก่ดังกล่าวเป็นเชื้อราทำลายเล็บ รักษาด้วยการทาและกินยาแผนปัจจุบันไม่หาย พอดื่มน้ำย่านางได้ 10 วัน ก็ทุเลาอย่างรวดเร็ว เขาได้ทดลองให้น้ำย่านางกับผู้ป่วยอีกหลายโรคหลายอาการไม่ว่าเป็นอาการไข้ขึ้น ปวดหัว ตัวร้อน ปวดเมื่อยตามร่างกาย ตุ่มผื่นคัน และอาการอื่นๆ ก็พบว่าอาการทุเลาอย่างรวดเร็ว เขาได้ข้อมูลจากผู้ป่วยหลายคนที่นำย่านางไปใช้บำบัดรักษาโรคพบว่า ไม่ว่าจะเป็นโรคร้ายที่รักษายาก หรือโรคที่รักษาง่ายหลายโรคหลายอาการย่านางสามารถบำบัดรักษาให้ทุเลาเบาบางหรือหายได้ ดังนั้น เขาจึงได้นำเสนอข้อมูลเกี่ยวกับย่านาง เผื่อว่าย่านางอาจจะเป็นส่วนที่ช่วยบำบัด บรรเทาทุกข์จากโรคภัยไข้เจ็บของญาติพี่น้องของเพื่อนร่วมโลกได้บ้าง ประสบการณ์การใช้ตามแนวธรรมชาติ
จากประสบการณ์คนที่ได้ใช้ใบย่านางกับผู้ป่วยพบว่า ใบย่านางมีฤทธิ์เย็น จึงใช้ใบย่านางปรับสมดุล บำบัดหรือบรรเทาอาการอันเกิดจากภาวะไม่สมดุลแบบร้อนเกิน พบว่าใบย่านางเหมาะอย่างยิ่งที่จะใช้ในการป้องกันคุ้มครองรักษา และฟื้นฟูเซลล์ร่างกายของคนในยุคนี้ เพราะคนส่วนใหญ่จะมีภาวะไม่สมดุลแบบร้อนเกินไป อันเนื่องมาจากผู้คนส่วนใหญ่มีความเครียดสูง มักถูกบีบคั้น กดดันจากสภาพสังคมและเศรษฐกิจ ให้ต้องแก่งแย่งแข่งขัน เร่งรีบ เร่งร้อน สิ่งแวดล้อมถูกทำลายก็มีมลพิษมากขึ้น ต้นไม้ที่ให้ออกซิเจน ร่มเย็น ให้ความชุ่มชื้นก็ถูกทำลายจนเหลือน้อย โลกจึงร้อนขึ้น อาหารและเครื่องดื่มปนเปื้อนสารเคมีมากขึ้น ตั้งแต่กระบวนการเริ่มผลิตทางการเกษตร ที่ใช้สารเคมีกันอย่างมากมายจนถึงการปรุงอาหาร ผู้คนอยู่กับเครื่องไฟฟ้า อิเล็กทรอนิกส์ สิ่งเหล่านี้เป็นเหตุปัจจัยหลัก ที่ทำให้คนเจ็บป่วยด้วยภาวะไม่สมดุลแบบร้อนเกินไป สถานการณ์ดังกล่าวตรงกันข้ามกับเมื่อ 30-50 ปีที่ผ่านมา ผู้คนส่วนใหญ่ไม่ค่อยมีความเครียด วิถีชีวิตเรียบง่าย สงบ เอื้อเฟื้อ เกื้อกูลกัน ไม่ต้องแก่งแย่งแข่งขัน ไม่ต้องเร่งรีบเหมือนคนยุคนี้ สิ่งแวดล้อมมีมลพิษน้อย ป่าไม้ก็มีมาก แม่น้ำลำธารใสสะอาด อาหารการกินไม่มีสารเคมีเจือปน ตั้งแต่กระบวนการผลิตทางการเกษตร จนถึงกระบวนการปรุงอาหารก็ไร้สารพิษ ปรุงแต่งน้อย รสไม่จัดจ้าน เครื่องใช้ไฟฟ้าอิเล็กทรอนิกส์ไม่ค่อยมี ผู้คนส่วนใหญ่ในยุคนั้น จึงมักมีภาวะไม่สมดุลแบบเย็นเกินไป
อาการหรือโรคที่เกิดจากภาวะไม่สมดุลแบบร้อนเกินไป ซึ่งสามารถใช้ใบย่านางปรับสมดุล บำบัดหรือบรรเทาได้ มีดังต่อไปนี้
1.
ตาแดง ตาแห้ง แสบตา ปวดตา ตามัว ขี้ตาข้น เหนียว หรือไม่ค่อยมีขี้ตา
2.
มีสิว ฝ้า
3.
มีตุ่ม แผล ออกร้อนในช่องปาก เหงือกอักเสบ
4.
นอนกรน ปากคอแห้ง ริมฝีปากแห้งแตกเป็นขุย
5.
ผมหงอกก่อนวัย รูขุมขน ขยายโดยเฉพาะบริเวณหน้าอก คอ ทั้งด้านหน้า และด้านหลัง
6.
ไข้ขึ้น ปวดหัว ตัวร้อน ครั่นเนื้อครั่นตัว
7.
มีเส้นเลือดขอดตามส่วนต่างๆ ของร่างกาย เส้นเลือดฝอยแตกใต้ผิวหนัง มีรอยจ้ำเขียว คล้ำ
8.
ปวดบวมแดงร้อนตามร่างกายหรือตามข้อ
9.
กล้ามเนื้อเกร็งค้าง กดเจ็บ เป็นตะคริวบ่อยๆ
10.
ผิวหนังผิดปกติคล้ายรอยไหม้ เกิดฝีหนอง น้ำเหลืองเสียตามร่างกาย
11.
ตกกระสีน้ำตาลหรือสีดำตามร่างกาย
12.
ท้องผูก อุจจาระแข็งหรือเป็นก้อนเล็กๆ คล้ายขี้แพะ บางครั้ง มีท้องเสียแทรก
13.
ปัสสาวะมีปริมาณน้อย สีเข้ม ปัสสาวะบ่อย แสบขัด ถ้าเป็นมากๆ จะเป็นสีน้ำล้างเนื้อ หรือมีเลือดปนออกมาด้วย มักมีปัสสาวะช่วงเที่ยงคืนถึงตี 2 (คนที่ร่างกายปกติ สมดุล จะไม่ตื่นปัสสาวะกลางดึก)
14.
ออกร้อนท้อง แสบท้อง บางครังมีอาการ ท้องอืดร่วมด้วย
15.
มีผื่นที่ผิวหนัง ปื้นแดงคัน หรือมีตุ่มใสคัน
16.
เป็นเริม งูสวัด
17.
หายใจร้อน เสมหะเหนียวข้น ขาวขุ่น สีเหลืองหรือสีเขียว บางทีเสมหะพันคอ
18.
โดยสารยานยนต์ มักอ่อนเพลียและหลับขณะเดินทาง
19.
เลือดกำเดาออก
20.
มักง่วงนอน หลังกินข้าวอิ่มใหม่ๆ
21.
เป็นมากจะยกแขนขึ้นไม่สุด ไหล่ติด
22.
เล็บมือ เล็บเท้า ขวางสั้น ผุ ฉีกง่าย มีสีน้ำตาลหรือดำคล้ำ อักเสบ บวมแดงที่โคนเล็บ
23.
หน้ามืด เป็นลม วิงเวียน บ้านหมุน คลื่นไส้ มักแสดงอาการเมื่ออยู่ในที่อับ หรืออากาศร้อนหรือเปลี่ยนอิริยาบถเร็วเกิน หรือทำงานเกินกำลัง
24.
เจ็บเหมือนมีเข็มแทงหรือไฟช็อต หรือร้อนเหมือนไฟเผา
25.
อ่อนล้า อ่อนเพลีย แม้นอนพักก็ไม่หาย
26.
รู้สึกร้อนแต่เหงื่อไม่ออก
27.
เจ็บปลายลิ้น แสดงว่าหัวใจร้อนมากถ้าเป็นมากจะเจ็บแปลบที่หน้าอก และอาจร้าวไปที่แขน
28.
เจ็บคอ เสียงแหบ คอแห้ง
29.
หิวมาก หิวบ่อย หูอื้อ ตาลาย ลมออกหู หูตึง
30.
ส้นเท้าแตก เจ็บส้นเท้า ออกร้อน บางครั้งเหมือนไฟช็อต
31.
เกร็ง ชัก
32.
โรคที่เกิดจากสมดุลแบบร้อนเกินไป ได้แก่ โรคหัวใจ เป็นหวัดร้อน ไซนัสอักเสบ หลอดลมอักเสบ กล่องเสียงอักเสบ ตับอักเสบ กระเพาะอาหารลำไส้อักเสบ ไทรอยด์เป็นพิษ ริดสีดวงทวาร มดลูกโต ตกขาว ตกเลือด ปวดมดลูก หอบหืด ไตอักเสบ ไตวาย นิ่วไต นิ่วกระเพาะปัสสาวะ นิ่วถุงน้ำดี กระเพาะปัสสาวะอักเสบ ไส้เลื่อน ต่อมลูกหมากโต โรคเกาต์ ความดันสูง เบาหวาน เนื้องอก มะเร็ง พิษของแมลงสัตว์กัดต่อย วิธีใช้ ใช้ใบย่านางในการเพิ่มคลอโรฟิล คุ้มครองเซลล์ ฟื้นฟูเซลล์ ปรับสมดุล บำบัดหรือบรรเทาอาการที่เกิดจากภาวะไม่สมดุล แบบร้อนเกินไป ดังนี้
1.
เด็กใช้ใบย่านาง 1-5 ใบ ต่อน้ำ 1-3 แก้ว (200-600 ซีซี.)
2.
ผู้ใหญ่ที่รูปร่างผอม บาง เล็ก ทำงานไม่ทน ใช้ 5-7 ใบ ต่อน้ำ 1-3 แก้ว
3.
ผู้ใหญ่ที่รูปร่างผอม บาง เล็ก ทำงานทน ใช้ 7-10 ใบ ต่อน้ำ 1-3 แก้ว
4.
ผู้ใหญ่ที่รูปร่างสมส่วนถึงตัวโต ใช้ 10-20 ใบ ต่อน้ำ 1-3 แก้ว โดยใช้ใบย่านางสดโขลกให้ละเอียดแล้วเติมน้ำ หรือขยี้ใบย่านางกับน้ำหรือปั่นในเครื่องปั่น (แต่การปั่นในเครื่องใช้ไฟฟ้าจะทำให้ประสิทธิภาพลดลงบ้าง เนื่องจากความร้อนจะไปทำงายความเย็นของใบย่านาง) แล้วกรองผ่านกระชอนเอาแต่น้ำ ดื่มครั้งละ ½-1 แก้ว วันละ 2-3 เวลา ก่อนอาหารหรือตอนท้องว่าง หรือผสมเจือจางดื่มแทนน้ำเปล่า ในอุณหภูมิห้องปกติ ควรดื่มภายใน 4 ชั่วโมง หลังจากทำน้ำใบย่านาง เพราะถ้าเกิน 4 ชั่วโมง มักจะมีกลิ่นเหม็นเปรี้ยว ไม่เหมาะที่จะดื่ม จะทำให้เกิด ภาวะร้อนเกินไป แต่ถ้าแช่ในน้ำแข็งหรือตู้เย็น ควรใช้ภายใน 3-7 วัน โดยให้สังเกตที่กลิ่นเหม็นเปรี้ยวเป็นหลัก
5.
การทำน้ำย่านางอาจผสมน้ำมะพร้าว หรือน้ำเล็กน้อย เพื่อผลทางยาหรือช่วยให้ดื่มง่ายขึ้น
6.
บางคนเป็นโรคหรือมีอาการหนักมาก บางครั้งย่านางเพียงอย่างเดียวไม่สามารถทำให้ทุเลาได้ ให้ใช้พืชฤทธิ์เย็นที่นำมาช่วยเสริม โดยนำมาขยี้ โขลกหรือปั่นรวมกับย่านาง พืชฤทธิ์เย็นที่นำมาเสริมฤทธิ์ย่านางที่มีประสิทธิภาพดีได้แก่ ใบอ่อมแซ่บ 1 กำมือ ใบเตย 1-3 ใบ ผักบุ้ง 5-10 ต้น บัวบก 1 กำมือ เสลดพังพอนตัวเมีย 5-10 ยอด (1 ยอด ยาว 1 คืบ) ใบตำลึงแก่ 1 กำมือ หญ้าปักกิ่ง 1-3 ต้น ว่านกาบหอย 3-5 ใบ เป็นต้น โดยนำมาเสริมเท่าที่จะหาได้ พืชชนิดใดที่หาไม่ได้ก็ไม่ต้องใช้ และถ้าพืชชนิดใดไม่ถูกกับผู้ที่จะดื่มก็ไม่ต้องมาผสม อาการของพืชที่ไม่ถูกกับร่างกาย คือ เมื่อรับประทานหรือสัมผัสพืชนั้นจะระคายคอ หรือมีอาการไม่สบายบางอย่าง พอผสมกันหลายอย่าง ก็รับประทานได้โดยไม่มีอาการผิดปกติ แต่บางคนแม้ผสมกันหลายอย่าง ก็ยังแสดงอาการผิดปกติอยู่ ก็ให้งดใช้พืชชนิดนั้นเสีย
7.
บางคนไม่ชินกับการรับประทานสด ก็สามารถผ่านไฟอุ่นหรือเดือดได้ไม่เกิน 5 นาที โดยตรวจสอบร่างกายของตนเองว่า ระหว่างรับประทานสดกับผ่านไฟ อย่างไหนรู้สึกสดชื่น สบายหรืออาการทุเลาได้มากกว่าก็ใช้วิธีนั้น
8.
คนที่เป็นโรคกระเพาะอาหารและลำไส้อักเสบ ให้ดื่มน้ำย่านางหรือสมุนไพรรวมฤทธิ์เย็นกับกล้วยดิบและขมิ้น โดยใช้กล้วยดิบทั้งเปลือก 1 ลูก แบ่งเป็น 3 ส่วน เท่าๆ กัน นำกล้วยดิบและขมิ้นอย่างละ 1 ชิ้น (ต่อครั้ง) โขลกให้ละเอียด หรือหั่นเป็นชิ้นเล็กๆ เคี้ยวให้ละเอียดแล้วกลืน พร้อมดื่มน้ำย่านาง หรือสมุนไพรรวมฤทธิ์เย็น วันละ 3 เวลา ก่อนอาหาร หรือหลังอาหารอย่างน้อย 2 ชั่วโมง แต่ถ้ามีอาการออกร้อนท้องร่วมด้วยให้งดขมิ้น สำหรับกล้วยดิบ หรือขมิ้นอาจใช้เป็นลูกกลอกหรือแคปซูลก็ได้ ใช้กล้วยดิบครั้งละ 3-5 เม็ด 3 เวลา ก่อนอาหาร ส่วนขมิ้นใช้ครั้งละ 1-3 เม็ด 3 เวลา ก่อนอาหาร
9.
สำหรับคนที่มีอาการท้องเสีย ให้ใช้ย่านางปริมาณที่เหมาะสมกับบุคคลดังที่นำเสนอข้างต้น ขยี้กับใบฝรั่งแก่ 3-5 ใบ หรือใบทับทิมครครึ่ง – 1 กำมือ ต่อน้ำ 1-3 แก้ว ดื่มก่อนอาหาร ครั้งละครึ่ง – 1 แก้ว หรือดื่มบ่อยจนกว่าจะหายท้องเสีย ย่านางสามารถฆ่าเชื้อโรคที่เป็นเหตุให้เกิดอาการท้องเสีย อีกสูตรหนึ่งที่ได้ผลดีมากคือ ดื่มน้ำย่านาง หรือน้ำสมุนไพรฤทธิ์เย็น ควบคู่กับสมุนไพรต้ม คือเอาเปลือกสะเดา (ส่วนที่มีรสฝาดขมกึ่งกลางระหว่างเปลือกแข็งนอกสุดและแก่น) ยาว 1 คืบของผู้ป่วย กว้าง 1-2 เซนติเมตร เปลือกมังคุดสดหรือตากแห้ง 1-3 ลูก ใบฝรั่งแก่ 3-5 ใบ ทั้งสามอย่าง รวมกัน ต้มใส่น้ำ 3-5 แก้ว เดือด 5-10 นาที แล้วผสมน้ำตาล 3-5 ช้อนโต๊ะ ดื่มครั้งละ 1 แก้ว 3 เวลา ก่อนอาหาร หรือจิบเรื่อยๆ จนกว่าอาการท้องเสียจะหาย
10.
การใช้น้ำย่านางกับภายนอกร่างกาย
10.1
ใช้น้ำย่านางหรือน้ำสมุนไพรฤทธิ์เย็นเจือจางกับน้ำเปล่าใช้เช็ดตัวลดไข้ได้อย่างดี หรือใช้ผ้าชุบวางบริเวณที่ปวดออกร้อน ช่วยลดความร้อนของร่างกายและผิวหนัง
10.2
ผสมน้ำยาสระผม ใช้สระผมได้อย่างดี ช่วยให้ศรีษะเย็น ผมดกดำหรือชะลอผมหงอก
10.3
ใช้ย่านางหรือน้ำสมุนไพรฤทธิ์เย็น ผสมดินสอพองหรือปูนเคี้ยวหมากให้เหลวพอประมาณ ทาสิว ฝ้า ตุ่ม ผื่น คัน พอกฝีหนัง จะช่วยถอนพิษและแก้อักเสบได้
11.
การประเมินว่า ปริมาณหรือความเข้มข้นพอเหมาะที่จะดื่มหรือไม่
11.1
ขณะที่ดื่มเข้าไป จะกลืนง่ายไม่ฝืดฝืน ไม่ระคายคอ
11.2
อาการไม่สบายทุเลาลง ปากคอชุ่ม ร่างกายสดชื่น
11.3
ถ้าดื่มน้อยไป อาการก็ไม่ทุเลา ถ้าดื่มมากไปก็จะเกิดอาการไม่สบายบางอย่าง หรือในขณะดื่มจะรู้สึกได้ว่าร่างกายจะมีสภาพต้านบางอย่างเกิดขึ้น
12.
สำหรับท่านที่ไม่ค่อยได้รับประทานผักสด ร่างกายก็จะขาดวิตามินและคลอโรฟิล ในใบย่านางมีวิตามิน คลอโรฟิลคุณภาพดี มีพลังสด พลังชีวิตประสิทธิภาพสูง ในการปกป้อง คุ้มครองและฟื้นฟูเซลล์ของร่างกายได้อย่างดีเยี่ยม หมายเหตุ
1.
หลายครั้งที่การดื่มสมุนไพรเพียงอย่างเดียว ไม่เพียงพอต่อการแก้ไขปัญหาสุขภาพ ก็ควรจะทำอย่างอื่นเสริมในการปรับสมดุลร้อนหรือเย็นของร่างกายด้วย จะทำให้ประสิทธิภาพในการดูแลแก้ไขปัญหาสุขภาพยิ่งขึ้น เช่น การปรับสมดุลด้านอิทธิบาท อารมณ์ อาหาร การออกกำลังกาย อากาศ เอนกายและเอาพิษออก ซึ่งรายละเอียดของการปรับสมดุลร้อน-เย็น ไม่สมดุล โดยใจเพชร มีทรัพย์ (หมอเขียว)
2.
ถ้าไม่มีย่านางหรือร่างกายไม่ถูกกับย่านาง ก็สามารถใช้สมุนไพรฤทธิ์เย็นตัวอื่น ๆ แทนได้ ตัวอย่าง ประสบการณ์ของผู้ป่วยที่ใช้ใบย่านางแก้ไขปัญหาสุขภาพ จนมีผลให้อาการเจ็บป่วยทุเลาเบาบางลง
1.
นางครั่ง มีทรัพย์ อายุ 53 ปี 28 หมู่ 7 ตำบลดอนตาล อำเภอดอนตาล จังหวัดมุกดาหาร เป็นเนื้องอกที่มดลูก มดลูกโต ตกเลือด มึนชา ปวดตามร่างกาย ดื่มน้ำย่านางพร้อมกับปฏิบัติตัวแก้ภาวะร้อนเกิน อาการทุเลาตามลำดับ หลังจากปฏิบัติได้ 3 เดือน อาการดังกล่าวหายไป
2.
นางสมนึก ห้องแซง อายุ 67 ปี 51/386 หมู่ 1 ตำบลนิคมคำสร้อย อำเภอนิคมคำสร้อย จังหวัดมุกดาหาร เป็นมะเร็งปอด ดื่มน้ำย่านาง พร้อมปรับสมดุลร้อน-เย็น ภายใน 3 เดือนผ่านไป อาการทุเลาลงมาก ไปทำอัลตราซาวด์ พบว่าก้อนมะเร็งฝ่อลง
3.
นางทองจีน ยิ้มใส่ อายุ 45 ปี 109 หมู่ 10 ตำบลบุ่ง อำเภอเมือง จังหวัดอำนาจเจริญ เป็นมะเร็งตับ ดื่มน้ำย่านางพร้อมกับปฏิบัติตัวแก้ภาวะร้อนเกิน 3 เดือนผ่านไป อาการทุเลาตามลำดับลงมาก ไปทำอัลตราซาวด์ พบว่าก้อนมะเร็งฝ่อลง
4.
นางผัน ถนอมบุญ อายุ 45 ปี 109 หมู่ 10 ตำบลจานลาน อำเภอพนา จังหวัดอำนาจเจริญ เป็นมะเร็งมดลูก ดื่มน้ำย่านาพร้อมกับปฏิบัติตัวแก้ภาวะร้อนเกินได้ 2 สัปดาห์ อาการทุเลาลงมาก พอได้ 2 เดือน ไปตรวจที่โรงพยาบาลไม่พบเซลล์มะเร็ง
5.
นางสาวสงัด สีน้ำเงิน อายุ 58 ปี 442 หมู่ 1 ตำบลในเมือง อำเภอพิมาย จังหวัดนครราชสีมา เป็นโรคหัวใจ โรคไต โรคกระเพาะอาหารอักเสบ เนื้องอกที่เต้านม ดื่มน้ำย่านางพร้อมกับปฏิบัติตัวแก้ภาวะร้อนเกิน 1 เดือน อาการทุเลาตามลำดับลงมาก เนื้องอกที่เต้านมยุบไป
6.
ผู้ป่วยเบาหวานและความดันโลหิตสูง ของโรงพยาบาลอำนาจเจริญ จำนวน 40 คน มาเข้าค่ายสุขภาพที่ศูนย์ฝึกสวนส่างฝัน หลักสูตร 3 วัน มีการดื่มน้ำย่านาง กายบริหาร กินอาหารพืชผักผลไม้ไร้สารพิษโดยปรุงแต่งอาหารให้มีฤทธิ์เย็น มีการตรวจเลือดและตรวจร่างกายก่อนและหลังเข้าค่าย พบว่าผู้ป่วยมีค่าน้ำตาลในเลือดและความดันโลหิตลดลง สมรรถภาพร่างกายก็โปร่ง โล่ง สดชื่น
7.
ท่านสมณะเด่นธรรม ธรรมรักขิตโต อายุ 62 ปี พุทธสถานสันติอโศก กรุงเทพฯ เป็นภูมิแพ้ ไอจาม มีน้ำมูกและเสมหะทุกวันเป็นมา 10 ปี หลังดื่มน้ำย่านางแลปฏิบัติตัวแก้ภาวะร้อนเกิน 1 สัปดาห์ อาการไม่สบายทั้งหมดทุเลาลงมาก
8.
นายเพื่อนพืช หมื่นยุทธ์ อายุ 28 ปี พุทธสถานสันติอโศก กรุงเทพฯ เหงือกอักเสบอย่างรุนแรง และเรื้อรังมา 4 ปี จนเคี้ยวอาหารปกติไม่ได้ ถึงขั้นต้องปั่นข้าวกิน หมอนัดผ่าตัด กำลังรอคิว กินน้ำย่านางและปฏิบัติตัวแก้ภาวะร้อนเกินที่ศูนย์ฝึกสวนส่างฝันได้ 10 วัน อาการทุเลาลง 80% จึงทำให้ไม่ต้องผ่าตัด
9.
นายบุญชู คงสมจิตร อายุ 78 ปี เมื่อวันที่ 25 มิถุนายน 2549 มีอาการอัมพฤกษ์ ลุกนั่งไม่ได้ พลิกตัวไม่ได้ กระดิกแขนขาได้เล็กน้อย แขนขาอ่อนแรง ก่อนหน้านั้นมีอาการร้อนใน ปัสสาวาน้อยและบ่อย สีเข้ม ปัสสาวะกลางคืน 8-9 ครั้ง ช่วงเที่ยงคืนถึงตีสามตาแดง ตาแห้ง ไข้ขึ้นบ่อย ท้องผูกบ่อย คอแห้ง ผิวตกกระเป็นจ้ำๆ เป็นเรื้อรังมา 5 ปี หลังจากที่กินน้ำย่านางผสมอ่อมแซบใบเตย หญ้าปักกิ่ง ว่านกาบหอย ผักบุ้ง เสลดพังพอน และบัวบก พร้อมปฏิบัติตัวแก้ภาวะไม่สมดุลแบบร้อนเกิน 1 สัปดาห์ ผ่านไป แขนขาเริ่มมีกำลัง ผ่านไป 3 สัปดาห์ ลุกนั่งเองได้ 4 สัปดาห์ สามารถลุกเดินได้ อาการไข้หายไป ไม่มีท้องผูก ปากคอชุ่ม ผิวจ้ำดำคล้ำหายไป
10.
นางสาวหล่า โมงขุนทด อายุ 67 ปี พุทธสถานสีมาอโศก 254 หมู่ 5 ตำบลหนองบัวศาลา อำเภอเมือง จังหวัดนครราชสีมา เป็นเริมและงูสวัดมา 1 เดือน กินน้ำย่านางและปฏิบัติตัวแก้ภาวะร้อนเกิน 1 สัปดาห์ อาการปวดแสบ ร้อนคันและตุ่มจากเริม งูสวัดหายไป
11.
นักเรียนสัมมาสิกขาสังฆสถานหินผาฝ้าน้ำ จังหวัดชัยภูมิ ประมาณ 20 คน มีอาการท้องเสียพร้อมกันจากอาหารเป็นพิษ เมื่อขยี้ใบย่านางกับใบฝรั่งแก่ในน้ำสะอาดให้ดื่ม อาการก็ทุเลาและหายไป ภายใน 1-2 วัน
12.
นายคนอง ดวงจิตต์ อายุ 15 ปี นักเรียนสัมมาสิกขาราชธานีอโศก เป็นตุ่มผื่นคันที่แขน ดื่มน้ำย่านาง และเอาน้ำย่านางผสมปูนเครี้ยวหมากทา อาการทุเลาลง วันรุ่งขึ้น ตุ่มคันยุบหายไป
13.
นางสาวเศษฝัน ดวงมณี อายุ 28 ปี ปฏิบัติการศูนย์ฝึกสวนส่างฝัน เป็นไข้ ครั่นเนื้อครั่นตัว เมื่อดื่มน้ำย่านางอาการก็ทุเลาลง วันรุ่งขึ้นก็หายเป็นปกติ
14.
ตัวผู้เขียนเองปวดท้องเฉียบพลัน เป็นประมาณ 1 ชั่วโมง พอดื่มน้ำย่านางอาการก็ทุเลาลง และหายภายใน 5 นาที
15.
นางอัมพร ทองด้วง อายุประมาณ 40 ปี 149 หมุ่ 12 ตำบลโพธิ์ไทร อำเภอป่าติ้ว จังหวัดยโสธร มีอาการปัสสาวะแสบขัด ออกร้อนในทางเดินปัสสาวะ เป็นมา 1 ปีเศษ รักษาที่คลินิกและโรงพยาบาลหลายแห่งก็ไม่หาย เมื่อดื่มน้ำย่านางผสมใบเตยและผักบุ้ง อาการทุเลาอย่างมากภายใน 3 วัน ดื่มต่อเนื่อง 3 สัปดาห์ ก็หายขาด
16.
นางสมัย เนากำแพง อายุ 42 ปี 196 ตำบลบุ่ง อำเภอเมือง จังหวัดอำนาจเจริญ เป็นไตอักเสบเรื้อรังมา 5 ปี เมื่อดื่มน้ำย่านางและปฏิบัติตัว แก้ภาวะร้อนเกินได้ 7 วัน อาการทุเลาจนเป็นปกติ
17.
นายดาว เนากำแพง อายุ 45 ปี 196 ตำบลบุ่ง อำเภอเมือง จังหวัดอำนาจเจริญ นอนกรนเป็นประจำ พอดื่มน้ำย่านางพร้อมกับรับประทานอาหารฤทธิ์เย็น อาการก็หายไปภายใน 1 สัปดาห์
18.
ชาวไร่อ้อยคนหนึ่งที่จังหวัดนครราชสีมา หลังจากตัดอ้อยจำนวนหลายไร่ มีอาการปวดชาที่แขน กินยาแผนปัจจุบันติดต่อเป็นเดือนก็ไม่ทุเลา พอดื่มน้ำย่านางอาการก็ทุเลา จนหายเป็นปกติภายใน 1-2 สัปดาห์
19.
คุณตู่ เจ้าของร้านอานนท์ประดับยนต์ 344/1 หมู่ 5 ถนนศรีษะเกศ-ขุขันธ์ ตำบลหนองครก อำเภอเมือง จังหวัดศรีษะเกษ เล็บมือผุ ถูกทำลายลุกลามไปครึ่งเล็บ ไปตรวจกับแพทย์แผนปัจจุบันพบว่าเป็นเชื้อรา ให้ยามารับประทานพร้อมยาทา เป็นเวลา 16 ปี อาการก็ไม่ทุเลา จึงหยุดยาแผนปัจจุบัน ทดลองดื่มน้ำย่านางได้ 15 วันอาการเริ่มทุเลา ดื่มได้ 1 เดือน อาการดีขึ้น จนเกือบเป็นปกติ
20.
นางจำปา สุวะไกร อายุ 33 ปี 106 หมู่ 5 ตำบลคึมใหญ่ อำเภอเมือง จังหวัดอำนาจเจริญ เป็นโรคกะเพาะอาหาร-ลำไส้อักเสบ ไขมันพอกตับและตกขาวเรื้อรัง กินยาแผนปัจจุบัน อาการไม่ทุเลา เมื่อดื่มน้ำย่านาง กินหญ้าปักกิ่ง กล้วยดิบและขมิ้น และกินอาหารฤทธิ์เย็นสวนล้างลำไส้ใหญ่ อาการทุเลาภายใน 5 วัน เมื่อทำต่อเนื่องอาการต่าง ๆ ก็ดีขึ้น จนได้ 2 ปี ไปตรวจที่โรงพยาบาล ไม่พบไขมันพอกตับ ยังมีกรณีตัวอย่างอีกมากมายที่ใช้ย่านางในการบำบัดรักษาสุขภาพ ซึ่งไม่สามารถนำเสนอได้หมดในที่นี้ ขอเชิญชวนท่านผู้อ่านทดลองใช้ย่านาง พืชสมุนไพรมหัศจรรย์ไทย ด้วยตัวของท่านเอง หวังเป็นอย่างยิ่งว่า บทความนี้ จะพอเป็นประโยชน์ต่อญาติพี่น้อง ผองเพื่อนร่วมโลกทุกๆ ท่าน ย่านาง วงศ์ MENISPERMACEAE ชื่อวิทยาศาสตร์ Tiliacora triandra (Colebr.) Diels ชื่อพื้นเมือง ภาคกลาง เถาย่านาง, เถาหญ้านาง, เถาวัลย์เขียว, หญ้าภคินี เชียงใหม่ จ้อยนาง, จอยนาง, ผักจอยนาง ภาคใต้ ย่านนาง, ยานนาง, ขันยอ สุราษฎร์ธานี ยาดนาง, วันยอ ภาคอีสาน ย่านาง ไม่ระบุถิ่น เครือย่านาง, ปู่เจ้าเขาเขียว, เถาเขียว, เครือเขางาม ลักษณะทางพฤกษศาสตร์ ต้น เป็นไม้เถาว์เลื้อย เกี่ยวพันไม้อื่น เป็นเถาว์กลมๆ ขนาดเล็ก แต่เหนียว มีสีเขียว เมื่อเถาว์แก่จะมีสีเข้ม บริเวณเถาว์มีข้อห่างๆ เถาอ่อน มีขนอ่อนปกคลุม เมื่อแก่แล้วผิวค่อนข้างเรียบ ราก มีหัวใต้ดิน รากมีขนาดใหญ่ ใบ เป็นใบเดี่ยวคล้ายใบพริกไทย ออกติดกับลำต้นแบบสลับ รูปร่างใบคล้ายรูปไข่ หรือรูปไข่ขอบขนาน ปลายใบเรียว ฐานใบมน ขนาดใบยาว 5-10 ซม. กว้าง 2-4 ซม. ขอบใบเรียบ ผิวใบเป็นคลื่นเล็กน้อย ก้านใบยาว 1-1.5 ซม. ในภาคใต้ใบค่อนข้างเรียวยาวแหลมกว่า สีเขียวเข้ม หน้าและหลังใบเป็นมัน ดอก ออกตามซอกใบ ซอกโคนก้าน จากข้อเถาว์แก่เป็นช่อยาว 2-5 ซม. ช่อหนึ่งๆ มีดอกขนาดเล็กสีเหลีอง 3-5 ดอก ออกดอกแยกเพศอยู่คนละต้น ไม่มีกลีบดอก ขนาดโตกว่าเมล็ดงาเล็กน้อย ต้นเพศผู้จะมีดออกสีน้ำตาล อับเรณูสีเหลืองอ่อน ดอกย่อยของต้นเพศผู้จะมีขนาดเล็ก ก้านช่อดอกมีขนสั้นๆ ละเอียด ปกคลุมหนาแน่น ออกดอกช่วงเดือนเมษายน ผลรูปร่างกลมเล็ก ขนาดเท่าผลมะแว้ง สีเขียว เมื่อแก่กลายเป็นสีเหลืองอมแดง หรือสีแดงสด และกลายเป็นสีดำในที่สุด เมล็ด เมล็ดแข็งรูปเกือกม้า แหล่งที่พบ ย่านางเป็นพืชที่พบในแหล่งธรรมชาติ ป่าทั่วไปที่มีความชุ่มชื้น บริเวณป่าผสมผลัดใบ ป่าดงดิบ และป่าโปร่งในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ รวมทั้งภาคอื่นๆ ก็มีกระจายทั่วไป การปลูกและขยายพันธุ์ ย่านางเป็นพืชที่ขึ้นในดินทุกชนิด และปลูกได้ทุกฤดู ขยายพันธุ์โดยการใช้หัวใต้ดิน เถาว์แก่ที่ติดหัว ปักชำยอด หรือการเพาะเมล็ด เป็นไม้ที่ปลูกง่ายโดยปลูกเป็นหลุมหรือยกร่องก็ได้ ประโยชน์ทางยา สารเคมีที่สำคัญ รากย่านางมี isoquinolone alkaloid ได้แก่ Tiliacorine, Tiliacorinine, Nortiliacorinine A, Tiliacotinine 2-N-oxde และ tiliandrine, tetraandrine, D-isochondendrine (isberberine) การทดลองทางห้องปฏิบัติการ จากการทดลองพบว่าสารสกัดจากรากย่านางมีฤทธิ์ต้านเชื้อมาลาเรียชนิด ฟัลซิพารัมในหลอดทดลอง
ใบ รสจืดขม รับประทาน ถอนพิษผิดสำแดง แก้ไข้ ตัวร้อน แก้ไข้รากสาด ไข้พิษ ไข้หัว ไข้กลับซ้ำ ใช้เข้ายาเขียว ทำยาพอก ลิ้นกระด้าง คางแข็ง กวาดคอ แก้ไข้ฝีดาษ ไข้ดำแดงเถา ราก รสจืดขม กระทุ้งพิษไข้ แก้ไข้ ปรุงยาแก้ไข้รากสาด ไข้กลับ ไข้พิษ ไข้ผิดสำแดง ไข้เหนือ ไข้หัวจำพวกเหือดหัด สุกใส ฝีดาษ ไข้กาฬ รับประทานแก้พิษเมาเบื่อแก้เมสุรา แก้พิษภายในให้ตกสิ้น บำรุงหัวใจ บำรุงธาตุ แก้โรคหัวใจบวม ถอนพิษผิดสำแดง แก่ไม่ผูก ไม่ถ่าย แก้กำเดา แก้ลม ทั้งต้น ปรุงเป็นยาแก้ไข้กลับ
1.
แก้ไข้ ใช้รากย่านางแห้ง 1 กำมือ ประมาณ 15 กรัม ต้มกับน้ำ 2 แก้วครึ่ง เคี่ยวให้เหลือ 2 แก้ว ให้ดื่มครั้งละ ½ แก้ว ก่อนอาหาร 3 เวลา
2.
แก้ป่วง (ปวดท้องเพราะกินอาหารผิดสำแดง) ใช้รากย่านางแดงและรากมะปรางหวาน ฝนกับน้ำอุ่น แต่ไม่ถึงกับข้น ดื่มครั้งละ ½-1 แก้วต่อครั้ง วันละ 3-4 ครั้ง หรือทุกๆ 2 ชั่วโมง ถ้าไม่มีรากมะปรางหวาน ก็ใช้รากย่านางแดงอย่างเดียวก็ได้ หรือถ้าให้ดียิ่งขึ้น ใช้รากมะขามฝนรวมด้วย
3.
ถอนพิษเบื่อเมาในอาหาร เช่น เห็ด กลอย ใช้รากย่านางต้นและใบ 1 กำมือ ตำผสมกับข้าวสารเจ้า 1 หยิบมือ เติมน้ำคั้นให้ได้ 1 แก้ว กรองด้วยผ้าขาวบาง ใส่เกลือและน้ำตาลเล็กน้อยพอดื่มง่ายให้หมดทั้งแก้ว ทำให้อาเจียนออกมา จะช่วยให้ดีขึ้น
4.
ดับพิษร้อน ถอนพิษไข้ ใช้หัวย่านางเคี่ยวกับน้ำ 3 ส่วน ให้เหลือ 1 ส่วนดื่มครั้งละ ½ แก้ว การใช้เป็นยาพื้นบ้านในภาคอีสาน
1.
ใช้ราก ต้มเป็นยาแก้อีสุกอีใส ตุ่มผื่น
2.
ใช้รากย่านางผสมรากหมาน้อย ต้มแก้ไข้มาลาเรีย
3.
ใช้ราก ต้มขับพิษต่างๆ รสและคุณค่าทางโภชนาการ ใบย่านางรสจืด คุณค่าทางโภชนาการ ข้อมูลจากหนังสือ Thai Food Composition Institute of Nutrition, Mahidol University (สถาบันวิจัยโภชนาการ มหาวิทยาลัยมหิดล) พบว่า ปริมาณสารสำคัญที่มีมากและโดดเด่นในใบย่านาง คือ ไฟเบอร์ แคลเซี่ยม เหล็ก เบต้าแคโรทีน วิตามินเอ ใบย่านาง 100 กรัม ให้คุณค่าโภชนาการดังนี้ พลังงาน 95 กิโลแคลอรี่ เส้นใย 7.9 กรัม แคลเซี่นม 155 มิลลิกรัม ฟอสฟอรัส 11 มิลลิกรัม เหล็ก 7.0 มิลลิกรัม วิตามินเอ 30625 IU วิตามินบีหนึ่ง 0.03 มิลลิกรัม วิตามินบีสอง 0.36 มิลลิกรัม ไนอาซิน 1.4 มิลลิกรัม วิตามินซี 141 มิลลิกรัม หรือโปรตีน 15.5 เปอร์เซนต์ ฟอสฟอรัส 0.24 เปอร์เซนต์ โพแทสเซี่ยม 1.29 เปอร์เซนต์ แคลเซี่ยม 1.42 เปอร์เซนต์
ADF 33.7
เปอร์เซนต์
NDF 46.8
เปอร์เซนต์
DMD 62.0
เปอร์เซนต์ แทนนิน 0.21 เปอร์เซนต์ ประโยชน์ทางอาหาร ย่านาง มีทุกฤดูกาล ให้ยอดมากในฤดูฝน และให้ผลในฤดูแล้ง ส่วนที่กินและการปรุงอาหาร คนไทยนิยมใช้ใบย่านางคั้นเอาน้ำปรุงอาหารต่างๆ เช่น แกงหน่อไม้ ซุบหน่อไม้ (ย่านางสามารถต้านพิษกรดยูริกในหน่อไม้ได้) แกงอ่อม แกงเห็ด หรือขยี้ใบสดกับหมาน้อย รับประทานถอนพิษร้อนต่างๆ ภาคอีสาน เถาว์และใบของย่านางนิยมใช้เป็นเครื่องปรุงรส ใช้แต่งสีเขียวในอาหารคาว และช่วยทำให้น้ำแกงข้นมากขึ้นด้วย นอกจากนี้ยังสามารถนำไปประกอบเป็นอาหารต่างๆ ดังนี้
1.
เถาว์ ใบอ่อน ใบแก่ ตำ คั้นเอาน้ำสีเขียว นำไปต้มกับหน่อไม้ ปรุงเป็นแกงหน่อไม้ ซุบหน่อไม้ แกงต้มเปรอะ เชื่อว่าย่านางจะช่วยลดรสขม ของหน่อไม้ได้ดี ทำให้หน่อไม้มีรสหวานอร่อย
2.
นำไปแกงกับยอดหวาย
3.
นำไปแกงกับขี้เหล็ก
4.
นำไปใส่แกงขนุน แกงผักอีลอก
5.
นำไปอ่อมและหมก ข้อควรระวัง (ขลำ) ต้องทำให้สุก เป็นที่น่าสังเกตว่า คนอีสานไม่มีข้อห้ามในการกินหน่อไม้ในคนที่สูงอายุ ซึ่งแตกต่างจากทางภาคอื่นๆ ที่มีข้อห้ามในการบริโภคหน่อไม้ เมื่อมีอายุมากขึ้น โดยเชื่อกันว่าหน่อไม้มีผลทำให้ปวดข้อ แต่คนอีสานมีวัฒนธรรมการกินหน่อไม้คู่กับย่านางเสมอ จึงไม่มีปัญหาเหมือนการกินหน่อไม้ของภาคอื่นๆ ภาคใต้ 1. ใช้ยอด ใบเพสลาด (ไม้อ่อน ไม่แก่เกินไป) นำไปแกงเลียง ผัด แกงกะทิ
2.
ผลสุก ใช้กินเล่น ภาคเหนือ 1. ยอดอ่อน นำมาลวกเป็นผักจิ้มน้ำพริก
2.
ยอดอ่อน ใบแก่ คั้นน้ำนำมาใส่แกงพื้นเมือง เช่น แกงหน่อไม้ แกงแค ประโยชน์ใช้สอยอื่นๆ
1.
น้ำสีเขียวจากใบย่านางนำไปใช้ย้อมผ้าได้อีกด้วย
2.
ใช้เป็นอาหารสัตว์ เช่น กระบือ
3.
เถาว์ มีความเหนียว ใช้มัดสัมภาระได้ ตัวอย่างสูตรอาหารจากใบย่านาง ซุบหน่อไม้ เครื่องปรุง หน่อไม้รวกขูดเป็นเส้นฝอย 300 กรัม ใบย่านาง 20 ใบ น้ำคั้นจากใบย่านาง 2 ถ้วย น้ำปลาร้าเจ ½ ถ้วย เกลือ ½ ช้อนชา ซีอิ้ว 1 ช้อนโต๊ะ มะนาว 2-3 ช้อนโต๊ะ ผักชีฝรั่งซอย 2 ต้น ต้นหอมซอย 2 ช้อนโต๊ะ ใบสะระแหน่เด็ดเป็นใบ ½ ถ้วย งาขาวคั่ว 1 ช้อนชา พริกป่น 1 ช้อนชา ข้าวเหนียว 1 ช้อนโต๊ะ วิธีทำ
1.
นำหน่อไม่สดมาเผาไฟให้สุก ลอกกาบที่ไหม้ไฟออกและล้างให้สะอาด นำหน่อไม้มาขูดด้วยมีดหรือส้อมทำให้เป็นเส้นยาวๆ
2.
นำใบย่านางล้างให้สะอาด โขลกและนำมาคั้นกรองเอาน้ำที่ข้น 2 ถ้วย
3.
นำข้าวเหนียวที่แช่น้ำสักครู่มาโขลกให้ละเอียด
4.
นำเครื่องปรุงที่เตรียมจากข้อ 1-3 ใส่ในหม้อ คนให้เข้ากันยกขึ้นตั้งไฟจนเดือดสักครู่ใส่น้ำปลาร้าเจ เกลือ ซีอิ้ว ยกลงและทิ้งไว้ให้หายร้อนหรือขณะยังอุ่นอยู่
5. ปรุงรสด้วยน้ำมะนาว พริกป่น คลุกเคล้าให้เข้ากัน ตักใส่จานโรยหน้าด้วยงาคั่ว ต้นหอม ผักชีฝรั่ง ใบสะระแหน่ รับประทานกับผักสด
............เป็นไงบ้างคะ ภูมิปัญญาชาวบ้าน ไม่ธรรมดาเลยใช่มั้ยคะ..? ทำให้เราห่างไกลยา และหมอได้ โดยไม่เสียตังค์...แถมชลอความชราด้วยนะคะ ทีนี้ก็...มาลองดื่มน้ำย่านางกันได้แล้ว....สำหรับผู้ที่เคยดื่มแล้วก็คงรู้แล้วว่าเยี่ยมแค่ไหน? สดชื่นอย่างไร?
ส่วนผู้ที่ยังไม่เคยก็มาลองหัดดื่ม...ทีละน้อยๆก่อน..เดี๋ยวก็ชินลิ้นเอง..ลองดูนะคะ