วันอังคารที่ 12 มีนาคม พ.ศ. 2562

ความหมายและ ตำนานใบโคลเวอร์ ใบไม้แห่งความโชคดี

ความหมายและ ตำนานใบโคลเวอร์ ใบไม้แห่งความโชคดี

ใบโคลเวอร์ (leaf clover) ปกติแล้วใบของต้นโคลเวอร์ทั่วไปจะมีเพียง 3 แฉก ซึ่งว่ากันว่า ในต้นโคลเวอร์หนึ่งพันต้นนั้น จะพบใบโคลเวอร์ 4 แฉก (Four leaf clover) ได้เพียงใบเดียวเท่านั้น โอกาสพบใบโคลเวอร์ 4 แฉกจึงเป็นปรากฏการณ์ที่หาได้ยากมาก

 คนญี่ปุ่นจะมีความเชื่อเกี่ยวกับเรื่องใบไม้แห่งความโชคดี (4 Leaf Clover)ถ้าหากใครได้เจอใบไม้ 4 แฉกแบบนี้ จะพบกับความโชคดี โดยเฉพาะเรื่องความรัก



ต้นโคลเวอร์จัดอยู่ในพืชตระกูล trifolium repens กลายมาเป็นสัญลักษณ์แห่งความโชคดีตั้งแต่เมื่อใดยังไม่มีใครทราบแน่ชัด แต่มีบันทึกไว้ชัดเจนในยุคกลางของยุโรปประมาณ คริสต์ศวรรษที่ 17 ซึ่งกล่าวเอาไว้ว่า เป็นวัฒนธรรมเคลติก ( celtic ) ที่พูดถึงใบโคลเวอร์สีขาว ว่า "เป็นเครื่องหมายโชคลางถึงความโชคดีของชาวเคลต์" ซึ่งเป็นชนชาติดั้งเดิมในแคว้นเวลส์ (ชนชาติดั้งเดิมของประเทศอังกฤษในปัจจุบัน)




ฟิลิปปาวอริ่ง ได้เขียนถึงความเชื่อเกี่ยวกับใบโคลเวอร์เอาไว้ว่า "หากพบใบโคลเวอร์ 4 แฉก เป็นความหมายว่าจะได้พบกับรักแท้ และในวันเดียวกันนั้น ถ้ามอบใบโคลเวอร์ 4 แฉกให้กับใคร ก็จะได้พบกับความโชคดีแบบคาดไม่ถึง แม้ในยามสงคราม หากนักรบประดับใบโคลเวอร์ 4 แฉกไว้บนปกเสื้อ มันจะช่วยให้แคล้วคลาดปลอดภัยได้"

ในทุกวันนี้บรรดาเครื่องรางนำโชคต่างๆ มากมายก็นิยมทำเป็นรูปจำลอง ซึ่งใบโคลเวอร์ก็เช่นกัน ได้มีการจัดทำเป็นใบจำลอง 4 แฉกเพื่อเป็นเครื่องรางมงคลประจำตัว หลายคนเชื่อกันว่า หากมีมันไว้ในครอบครองแม้เพียงใบเดียวหรือชิ้นเดียว ไม่ว่าคุณจะอยู่ที่ไหน เดินทางไกล ก็จะพบแต่ความโชคดีตลอดไป 




และเพราะความเชื่อนี้เอง จึงทำให้ในปัจจุบันได้มีการนำเอาใบโคลเวอร์มาเป็นสัญลักษณ์หรือตัวแทนของความโชคดี หรือรักแท้ ด้วยการนำมาทำเป็นเครื่องประดับ เช่น จี้ห้อยคอ สร้อยข้อมือ แหวน 
ต่างหู เป็นต้น ชาวสนุก!ดูดวงคนไหนที่อยากมีความเชื่อในเรื่องนี้อยากโชคดี อยากเจอรักแท้ ลองหาเครื่องประดับที่เป็นใบโคลเวอร์มีใส่ติดตัวดูสิคะ คุณอาจจะโชคดีขึ้นก็เป็นได้

ขอขอบคุณ ข้อมูล จาก www.sanook.com



วันจันทร์ที่ 11 มีนาคม พ.ศ. 2562

ลองอ่านแนวคิด 21 ข้อ ว่าจริงตามนั้นหรือไม่

ลองอ่านแนวคิด 21 ข้อ ว่าจริงตามนั้นหรือไม่

1. ความรักเริ่มต้นด้วยรอยยิ้ม เติบโตด้ยการจูบ และ จบลงด้วยน้ำตา
2. อย่าเสียน้ำตาให้กับคนที่ไม่เคยรักใครและไม่เคยเสียน้ำตาให้กับคุณ
3. ถ้ารักไม่ใช้เกมส์ในมือถือ ทำไมจึงต้องมีผู้เล่นเกมส์รักหลายคน
4. คุณไปได้ไกลเท่าที่คุณคิดและผลักดันตัวตนของตัวเอง
5. การกระทำใด ๆ ดังกว่าคำพูดเป็นพันคำ
6. สิ่งที่ยากที่สุด คือ การมองดูคนที่คุณรักมากที่สุด ไปรักคนอื่น
7. อย่าปล่อยให้อดีตยึดตัวคุณไว้ เพราะคุณจะพลาดสิ่งดี ๆ ที่จะผ่านมา
8. เพื่อนที่ดีนั้นหายาก แต่จะยากกว่าในการจะลาจาก
9. ชีวิตนั้นสั้นนัก ถ้าครั้งหนึ่งในชีวิต คุณไม่หยุดมองดูมันให้กว้าง ๆ ทั่ว รอบตัวคุณสักครู่
    แล้วคุณจะรู้ว่าคุณพลาดอะไรไปบ้าง
10. เพื่อนที่ดีที่สุด ก็เหมือนกับใบโคลเวอร์ สี่แฉก ยากที่จะเจอ และ เมื่อได้มาก็โชคดีที่มีมัน
11. คนบางคนทำให้โลกนี้เป็นโลกที่แสนวิเศษเพียงแค่มีเค้าอยู่ใกล้ ๆ
12. มิตรแท้ คือ พี่ น้อง ที่พระเจ้า ลืมให้มาเกิดในครอบครัวเดียวกันกับเรา
13. เมื่อคุณเจ็บปวดที่จะมองหันหลังกลับ และหวาดกลัว ที่จะมองไปข้างหน้า
แต่เมื่อคุณมองไปข้าง ๆ คุณจะเจอเพื่อนที่ดีที่สุดอยู่ข้าง ๆ กาย
14. มิตรภาพที่แท้จริงไม่มีวันจบสิ้น
15. มิตรแท้คงอยู่ตลอดไป
16. เพื่อนที่ดีเหมือนดวงดาว คุณจะไม่ได้พบเห็นเค้าตลอดเวลา แต่เค้าก็จะอยู่
ข้างกายเราเสมอ
17. อย่ามัวหน้างอ คิ้วขมวดอยู่เลย คุณไม่รู้หลอกว่ามีคนแอบรักรอยยิ้มของคุณ
18. คุณจะทำอย่างไรเมื่อคนๆ เดียวที่ทำให้คุณหยุดร้องไห้ ทำให้คุณนร้องไห้ซะเอง
19. ไม่มีใครสมบูรณื จนกระทั้งคุณตกหลุมรักเค้า
20. ทุกอย่างจะจบแบบ Happy แต่ถ้าไม่เป็นอย่างนั้นแสดงว่าเรื่องยังไม่จบ
21. คนส่วนมากผ่านมาและผ่านไป แต่จะมีเพียงเพื่อนเท่านั้นที่ทิ้งรอยเท้าไว้ในใจคุณ



ขอขอบคุณ ข้อมูล เว็บยิ้มละมุน

วันพฤหัสบดีที่ 7 มีนาคม พ.ศ. 2562

ลูกมีผื่นคันเป็น ๆ หาย ๆ อาจจะแพ้โปรตีนนมวัว

โดย น.อ.หญิง พญ. ศศวรรณ ชินรัตนพิสิทธิ์
กุมารแพทย์โรคภูมิแพ้ หัวหน้าศูนย์โรคภูมิแพ้ โรงพยาบาลภูมิพลอดุลยเดช


1. ลูกมีผื่นคันขึ้นตามตัวบ่อยๆ คงเพราะผิวหนังยังบอบบางทายาแก้อาการก็หาย

ผื่นผิวหนังอักเสบ มีอาการคันที่เป็นๆ หายๆ ลักษณะผื่นเป็นเรื้อรัง เมื่อได้รับการรักษาโดยแพทย์ แต่ยังไม่หายขาด มีโอกาสสูงที่จะเป็นผื่นภูมิแพ้ผิวหนังอักเสบ (atopic dermatitis) เป็นโรคผิวหนังอักเสบ เรื้อรังที่พบบ่อยที่สุดในเด็ก เชื่อว่าเกิดจากหลายปัจจัยร่วมกัน โดยพันธุกรรมทำให้หน้าที่ป้องกันเชื้อโรคของผิวหนังผิดปกติ ร่วมกับมีการตอบสนองทางภูมิคุ้มกันต่อสารก่อภูมิแพ้ที่ผิดปกติ ได้แก่ อาหาร โดยเฉพาะ ที่พบบ่อยในเด็กเล็ก คือ นมวัว ไข่ ถั่วเหลือง แป้งสาลี ส่วนสารก่อภูมิแพ้อื่นๆ เช่น ไรฝุ่น และแมลงสาบ มีรายงานในกลุ่มทารกและเด็กเล็กที่ เป็นโรคผื่นผิวหนังอักเสบที่มีความรุนแรงปานกลางถึงรุนแรงมากนั้น มักมีการแพ้อาหารร่วมด้วย



อาการแพ้โปรตีนนมวัวพบได้บ่อยในเด็กวัยทารก อาจเกิดจากการที่ระบบภูมิคุ้มกันของเด็กยังทำ หน้าที่ได้ไม่ดี หรือทำหน้าที่ผิดปกติ มีปฏิกิริยาต่อโปรตีนในนมวัว โดยอาการส่วนใหญ่จะเกิดภายใน 1 สัปดาห์หลังได้รับนมวัว อาจแสดงอาการได้หลายระบบ ไม่ว่าจะเป็นระบบผิวหนัง เช่น ผื่นแพ้                 ระบบทางเดินอาหาร เช่น อุจจาระร่วง หรือมีมูกเลือด และระบบทางเดินหายใจ เช่น หายใจครืดคราด จาม ไอ มีน้ำมูก เด็กส่วนใหญ่จะมีอาการแสดงมากกว่า 1 ระบบ บางคนแสดงอาการแพ้ภายในเวลาประมาณ 30 นาทีหลังกินนมวัว โดยอาจมีอาการคือ ผิวหนังเป็นผื่นลมพิษ ไอ หอบหืด น้ำมูกไหล อาเจียน ซึ่งเป็นจุดเริ่ม ต้นที่ก่อให้เกิดโรคภูมิแพ้ในเด็กทารก




     การจะรู้ได้ว่าผื่นคันของลูกเกิดจากอาการแพ้โปรตีนนนมวัวหรือไม่นั้น คุณแม่อาจทดสอบและ ลองสังเกตอาการลูกเองก่อน โดยการให้ลูกงดนมวัวประมาณ 1- 2 สัปดาห์ หากอาการผื่นคันหายไป หลังจากนั้นลองให้ลูกกินนมวัวอีกครั้ง ถ้าผื่นกลับมาเป็นอีกก็เป็นไปได้ว่าอาจเเพ้นมวัว หากสงสัยว่าลูก มีอาการเเพ้นมวัวควรพาลูกไปพบกุมารแพทย์โรคภูมิแพ้เพื่อวินิจฉัยอีกครั้งเพื่อความแม่นยำ โดยการซัก ประวัติของเด็กและพ่อแม่ ตรวจร่างกาย และอาจทำการทดสอบภูมิแพ้ทางผิวหนัง (skin prick test) หรือการตรวจอื่นๆเพิ่มเติม

     หากพบว่าผื่นคันของลูกเกิดจากอาการแพ้โปรตีนนมวัวจริงๆ แพทย์จะพิจารณาถึงแนวทางการ รักษา โดยการแนะนำให้เด็กกินนมแม่ดีที่สุด โดยแม่ต้องงดนมวัวและผลิตภัณฑ์จากนมวัว แต่หากเด็ก ไม่ได้กินนมแม่ แพทย์จะแนะนำให้เด็กกินนมสูตรพิเศษ สำหรับรักษาอาการแพ้โปรตีนนมวัวชนิด Extensively Hydrolyzed Formula คือนมที่ผ่านการย่อยโปรตีนอย่างละเอียด ทำให้มีโปรตีนขนาดเล็ก ไม่กระตุ้น ให้เกิดอาการแพ้ นมสูตรนี้มี 2 ชนิด คือ สูตรโปรตีนเวย์ และสูตรโปรตีนเคซีนที่มีการเสริมจุลินทรีย์สุขภาพ LGG ที่มีงานวิจัยรองรับว่าช่วยให้เด็กหายขาดจากอาการแพ้โปรตีนนมวัว และกลับมาดื่มนมสูตรปกติได้เร็ว หรือนมถั่วเหลือง (ในเด็กที่อายุมากกว่า 6 เดือนขึ้นไป และไม่แพ้นมถั่วเหลือง) ถ้าอาการไม่ดีขึ้นหรือเด็กที่แพ้นมวัวรุนแรง อาจให้กินนมสูตรกรดอะมิโน (Amino Acid ) และรักษาอาการแพ้ ที่เกิดขึ้น ด้วยยาที่เหมาะสม



เป็นความเชื่อที่ผิด อันที่จริงเด็กเล็กที่มีอาการคัดแน่นจมูก น้ำมูกใส จาม และคันจมูกบ่อยๆ ลักษณะเรื้อรัง โดยไม่มีไข้ อาการเหล่านี้ไม่ใช่หวัด ควรพาไปพบแพทย์เพื่อตรวจหาสาเหตุ และให้การรักษาที่เหมาะสม จากอาการข้างต้นอาจเป็นโรคเยื่อบุจมูกอักเสบ และถ้าไม่มีไข้ มีอาการเรื้อรัง มีโอกาสที่จะเป็น โรคเยื่อบุจมูกอักเสบจากภูมิแพ้ (Allergic Rhinitis) โรคนี้พบได้ทุกอายุ ผู้ป่วยเด็กร้อยละ 20 เริ่มมีอาการภายในอายุ 2-3 ปี ร้อยละ 40 มีอาการใน 6 ปีแรกและอีกร้อยละ 30 เริ่มมีอาการในช่วงวัยรุ่น แต่พบว่าโอกาสการเกิดโรคนี้ในขวบปีแรกเพิ่มขึ้นในเด็กที่ได้รับอาหารเสริมเร็ว เช่น นมวัว ไข่ แม่สูบบุหรี่ การสัมผัสกับสารก่อภูมิแพ้ เช่น รังแคสัตว์เลี้ยง ไรฝุ่น ดังนั้นในเด็กเล็กถ้ามีอาการทางระบบหายใจที่เรื้อรัง ควรนึกถึงเรื่องการแพ้อาหาร โดยเฉพาะ อย่างยิ่งคือ นมวัว


       การแพ้โปรตีนนมวัว อาจแสดงได้หลายระบบ ทั้งระบบผิวหนัง ระบบทางเดินอาหาร และระบบ ทางเดินหายใจ ซึ่งจะแสดงอาการหายใจครืดคราด มีน้ำมูก มีเสมหะ ไอ จาม คล้ายๆ กับเป็นหวัด ทำให้ พ่อแม่เข้าใจผิดได้ เด็กส่วนใหญ่จะมีอาการแสดงมากกว่า 1 ระบบ การวินิจฉัยโดยทั่วไป อาจจะใช้การ ทดสอบทางผิวหนัง (skin prick test) ซึ่งเป็นการตรวจที่มีความน่าเชื่อถือ หรือการตรวจ IgE ที่จำเพาะต่อ นมวัว วิธีนี้มีความไวน้อยกว่าการทดสอบทางผิวหนัง หากการตรวจให้ผลบวก การแปลผลเหมือนการ ทดสอบทางผิวหนัง แต่เด็กที่มีภาวะภูมิไวต่อนมวัว ไม่ได้บ่งบอกว่าเขาแพ้นมวัวจริง วิธีการวินิจฉัยอาการแพ้โปรตีนนมวัวที่แน่นอนคือการงดนมวัว ในกรณีที่เด็กอาการดีขึ้นหลังจากการงดอาหารที่มีโปรตีนนมวัว เป็นการยืนยันว่าอาการของเด็กเกิดจากการแพ้โปรตีนนมวัวจริง

อาการแพ้โปรตีนนมวัวนี้สามารถถ่ายทอดทางพันธุกรรม พบว่าถ้าพ่อหรือแม่เป็นโรคภูมิแพ้ ลูกจะมีความเสี่ยงสูง ต่อการแพ้โปรตีนนมวัวด้วย อาการแพ้โปรตีนนมวัวส่วนใหญ่สามารถรักษาให้หายได้ เมื่อได้รับการดูแล รักษาอย่างเหมาะสม

การแพ้โปรตีนนมวัวสามารถเกิดได้ทั้งในเด็กที่กินนมผงดัดแปลงสำหรับทารกแรกเกิด และเด็กที่กินนมแม่อย่างเดียว เพราะถ้าแม่ที่ให้นมลูกแล้วดื่มนมวัวหรือกินอาหารที่มีส่วนผสมของผลิตภัณฑ์จากนมวัว จะมีโปรตีนนมวัวผสมออกมาในน้ำนมแม่ทำให้เด็กแพ้โปรตีนนมวัวในนมแม่ได้
การรักษาโรคนี้ มีแนวทางปฏิบัติคือ งดนมวัวและผลิตภัณฑ์จากนมวัวเป็นวิธีที่ดีที่สุด ในกรณีที่เด็กกินนมแม่แต่แพ้นมวัว แนะนำให้แม่หลีกเลี่ยงการกินนมวัวและผลิตภัณฑ์จากนมวัว ในกรณีที่ไม่ได้กินนมแม่ แนะนำให้เด็กกินนมสูตรพิเศษสำหรับรักษาอาการแพ้โปรตีนนมวัวชนิด Extensively Hydrolyzed Formula ที่มีกระบวนการย่อยให้โปรตีนมีขนาดเล็ก ไม่กระตุ้นให้เกิดอาการแพ้ ในเด็กที่แพ้ไม่รุนแรงมาก หรือนมสูตรกรดอะมิโน หรือนมถั่วเหลือง (ในเด็กที่อายุมากกว่า 6 เดือนขึ้นไป และไม่แพ้นมถั่วเหลือง) จะช่วยให้เด็กอาการดีขึ้นได้

 3. เมื่อลูกแพ้โปรตีนนมวัว ให้กินนมผงสูตรโปรตีนที่ย่อยบางส่วนแทนนมสูตรปกติได้

เป็นความเชื่อที่ผิดค่ะ การรักษาเด็กที่มีอาการแพ้โปรตีนนมวัว ควรให้นมสูตรโปรตีนย่อยอย่าง ละเอียด หรือ Extensively Hydrolyzed Formula ซึ่งโปรตีนในนมจะถูกย่อยจนได้เป็นโมเลกุลขนาดเล็ก และบางส่วนอาจถูกย่อยจนเป็นกรดอะมิโน ทำให้ไม่กระตุ้นอาการแพ้ ซึ่งเป็นสูตรที่มีการกำหนดโดย สถาบันกุมารแพทย์อเมริกัน (American Academy of Pediatrics) ว่าเมื่อนำมาใช้กับผู้ป่วยที่มีอาการแพ้ โปรตีนนมวัวแล้ว จะต้องไม่เกิดอาการแพ้ร้อยละ 95 ของผู้ป่วย เนื่องจากนมสูตรโปรตีนย่อยอย่างละเอียด Extensively Hydrolyzed Formula มีคุณสมบัติเป็น Hypoallergenic Formula ประกอบด้วยโปรตีนสาย สั้น และมีปริมาณโปรตีนขนาดใหญ่ (β-lactoglobulin) น้อยมาก จึงไม่ก่อให้เกิดอาการแพ้ และสามารถ นำมารักษาผู้ป่วยที่มีภาวะแพ้โปรตีนนมวัวได้ โดยนมสูตรโปรตีนย่อยอย่างละเอียด Extensively Hydrolyzed Formula มี 2 ชนิด คือชนิดโปรตีนเคซีน และชนิดโปรตีนเวย์ย่อยละเอียด โดยชนิดโปรตีนเคซีนย่อยละเอียด ในปัจจุบันมีการเสริมจุลินทรีย์สุขภาพ LGG ที่มีงานวิจัยยืนยันว่าใช้รักษาอาการแพ้โปรตีนนมวัวให้หายขาดได้ ทำให้เด็กสามารถกลับมาดื่มนมสูตรปกติได้เร็ว ส่งผลให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น


ส่วนนมผงสูตรโปรตีนที่ย่อยบางส่วน (Partially Hydrolyzed Formula) มีโปรตีนน้ำหนักโมเลกุล ใหญ่จำนวนมาก ซึ่งยังสามารถกระตุ้นให้เกิดอาการแพ้ในเด็กที่มีภาวะแพ้โปรตีนนมวัวได้ถึงร้อยละ 30-40 จึงไม่เหมาะในการรักษาเด็กที่มีอาการแพ้โปรตีนนมวัว เพราะเสี่ยงต่อการที่เด็กยังคงมีอาการแพ้อยู่


ขอขอบคุณข้อมูลจาก www.enfababy.com

วันอังคารที่ 5 มีนาคม พ.ศ. 2562

หลังภาวะแท้งบุตร ทิ้งระยะเวลาเท่าไหร่จึงมีเพศสัมพันธ์ได้และปลอดภัย

ต้องรอนานแค่ไหน และทำไมคุณอาจจะไม่รู้สึกอยากกอดจูบลูบคลำมากนัก?



หลังจากภาวะแท้งบุตร แพทย์มักจะแนะนำให้รอสักพักก่อนจะมีเพศสัมพันธ์อีกครั้ง หลายคนเชื่อว่าคุณแม่หลายท่านคงมีความสงสัยว่านานแค่ไหนกัน? ซึ่งการกลับมามีเพศสัมพันธ์หลังแท้ง หรือมีเลือดออกจากช่องคลอดจะมีความปลอดภัยก็ต่อเมื่อเลือดหยุดไหล ซึ่งมักเกิดขึ้นภายในสองสัปดาห์

เหตุผลอีกอย่าง คือ สภาพปากมดลูกมักจะขยาย ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการปรับตัวทางกายภาพ ของภาวะแท้งบุตร อันหมายถึงการเพิ่มความไวต่อการติดเชื้อในมดลูกด้วย เมื่อเลือดหยุดออก ปากมดลูกจะปิด ควรหลีกเลี่ยงการมีเพศสัมพันธ์ทันทีหลังจากมีภาวะแท้งบุตร แพทย์ยังแนะนำให้หลีกเลี่ยงการใช้ผ้าอนามัยแบบสอด เป็นเวลาอย่างน้อย 1-2 สัปดาห์ และไม่ควรสอดใส่อะไรเข้าไปในช่องคลอดทั้งนั้น

ดังนั้น จึงควรหลีกเลี่ยงการมีเพศสัมพันธ์หลังจากมีภาวะแท้งบุตร ยกเว้นคุณต้องการตั้งครรภ์ทันที ขณะมีเพศสัมพันธ์ควรใช้รูปแบบของการคุมกำเนิดแบบอื่นๆ เพราะมีโอกาสสูงที่จะตั้งครรภ์อีกครั้ง หลังภาวะแท้งบุตรสองสัปดาห์ โดยมากแพทย์จะแนะนำให้รอสักพักก่อนจะมีการตั้งครรภ์อีกครั้ง หรือถ้ากรณีคุณยังรู้สึกไม่พร้อม


ภาวะแท้งบุตรจะทำให้เกิดความวุ่นวาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าเป็นท้องแรกของคุณ ซึ่งเป็นความรู้สึกปกติ ไม่มีใครคาดว่าจะมีภาวะแท้งบุตรเมื่อมีผลทดสอบตั้งครรภ์ที่เป็นบวก การสูญเสียครรภ์ทำให้เกิดบาดแผลในใจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าคุณอยากมีบุตร ถึงแม้ยังไม่อยากมีบุตร เมื่อคุณเริ่มตั้งครรภ์คุณก็ได้สร้างความผูกพันกับทารกที่ก่อตัวขึ้นมาในครรภ์แล้ว

คุณต้องให้เวลาตัวเองกับความเสียใจที่เกิดขึ้น คุณอาจไม่ต้องการที่จะให้ใครสัมผัสอย่างใกล้ชิด หรืออยากอยู่คนเดียวแทนที่การมีเพศสัมพันธ์   ซึ่งจะใช้เวลานานแค่ไหนกับความเสียใจนี้ก็แตกต่างกันไปในแต่ละคน  ดังนั้นควรใช้เวลานานเท่าที่คุณต้องการดีกว่า

สรุปก็คือ อาการปวดท้อง และเลือดที่ไหลจะค่อยๆหายไปภายในสองสัปดาห์ แต่ถ้าหากมีไข้ เลือดมีกลิ่นเหม็น หรือเลือดไม่หยุดไหล ควรรีบมาพบแพทย์เพราะอาจเกิดการติดเชื้อได้ หลังจากเลือดหยุดแล้วควรกลับไปพบแพทย์อีกรั้งเพื่อตรวจภายใจ และฟังผลตรวจชิ้นเนื้อแท้งด้วยซึ่งในกระบวนการนี้แพทย์จะตรวจมะเร็งปากมดลูกไปให้ด้วยเลย เพื่อดูสุขภาพโดยรวมของคุณแม่นั่นเอง

ดังนั้น ควรงดการมีเพศสัมพันธ์หลังแท้ง 1 เดือน และคุมกำเนิดด้วยวิธีต่างๆเป็นเวลา 3 เดือน ด้วยการใส่ถุงยางอนามัย กินยาคุม หรือฉีดยาคุม เป็นต้น หรือจนกว่าแพทย์จะแนะนำให้มีอีกที ทั้งหมดนี้ก็เพื่อสุขภาพที่ดีที่พร้อมที่สุดของคุณแม่เอง

ขอขอบคุณข้อมูลจาก www.honestdocs.co

ผื่นแพ้ในเด็ก เกิดจากอะไรบ้าง และ ทำยังไงดี

บทความนี้มาจาก
รีวิวโดยทีมแพทย์และเภสัชกร HonestDocs วันที่ 01/02/2562


ผื่นแพ้ (Eczema หรือ Atopic dermatitis) เป็นโรคที่พบได้บ่อยและน่าท้อแท้ใจสำหรับทั้งคุณพ่อคุณแม่และคุณลูก โดยเฉพาะคุณลูก เพราะนอกจากจะไม่มีทางหายแล้วยังรักษาได้ยาก คุณพ่อคุณแม่มักได้รับคำแนะนำที่แตกต่างกันทำให้เข้าใจยากไปเกี่ยวกับการรักษาลูกของตัวเอง สาเหตุเกิดจากผิวหนังแห้งและสูญเสียความชุ่มชื้นได้ง่ายเพราะมีการสร้างเซราไมด์ (Ceramide) ที่ผิวหนังน้อยเกินไป


อาการของพื้นแพ้ในเด็ก เกิดจากอะไร


อาการหลักของผื่นแพ้ คือ ผื่นคันที่เห็น ซึ่งอาจมีสีแดง สัมผัสดูแล้วรู้สึกผิวหยาบหนาหรือระคายเคือง หรืออาจมีผิวลอกเป็นขุยและเยิ้มแฉะก็ได้ ผื่นชนิดนี้มักเริ่มแสดงอาการตั้งแต่ในวัยทารกและเป็นต่อเนื่องไปได้จนถึงอายุ 5 ปี แม้ว่าการรักษาจะช่วยควบคุมไม่ให้อาการกำเริบและหายไปได้ แต่ก็เพียงชั่วคราวเท่านั้น ผู้ป่วยมักจะกลับมามีอาการอีกเป็นครั้งคราว

ในการวินิจฉัยผื่นแพ้ของน้อง

ในการวินิจฉัยผื่นแพ้ทำได้โดยดูจากลักษณะของผื่นคันที่ตำแหน่งเฉพาะของโรค ได้แก่ หน้าผาก แก้ม แขนและขาในทารก และด้านในบริเวณรอยพับของข้อศอก เข่า และข้อเท้าในเด็กโต บางครั้งผื่นแพ้ก็ถูกเข้าใจผิดว่าเป็นผื่นคันชนิดอื่น เช่น ผื่นแพ้สัมผัส ผดร้อน เซบเดิร์ม (Seborrheic dermatitis) และผื่นโรคสะเก็ดเงิน อย่างไรก็ตาม ระยะเวลาที่เกิดผื่น ตำแหน่งที่มีผื่น และรูปแบบการกระจายตัวของผื่นจะช่วยให้กุมารแพทย์บอกได้ว่าผื่นนี้เป็นผื่นแพ้หรือเป็นผื่นชนิดอื่นๆ กันแน่

ในการป้องกันผื่นแพ้กำเริบต้องทำยังไง

พ่อแม่สามารถศึกษาความรู้พื้นฐานของการป้องกันผื่นแพ้กำเริบ ในช่วงเวลาที่ผื่นของลูกแย่ลง อันประกอบไปด้วย การหลีกเลี่ยงสิ่งกระตุ้นผื่นแพ้ที่รู้อยู่แล้ว เช่น น้ำยาซักผ้า สบู่ ฟองสบู่ ไรฝุ่น อาหารที่แพ้ อากาศร้อนและเหงื่อ เสื้อผ้าขนสัตว์และใยสังเคราะห์ เป็นต้น นอกจากนี้การรักษาผิวของลูกให้ชุ่มชื้นอยู่เสมอก็สำคัญไม่แพ้กัน เนื่องจากการระบุและหลีกเลี่ยงตัวกระตุ้นนั้นทำได้ยาก การให้ความชุ่มชื้นแก่ผิวจึงเป็นวิธีที่ดีที่สุดในการป้องกันการกำเริบของผื่นแพ้ โดยคุณควรอาบน้ำให้ลูกวันละหนึ่งหนด้วยน้ำที่อุ่นน้อยๆ และสบู่ที่อ่อนโยนต่อผิวและให้ความชุ่มชื้น หรืออะไรก็ตามที่ใช้แทนสารให้ความชุ่มชื้นให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้เมื่อลูกเริ่มมีผิวแห้ง และทาให้ลูก 2-3 ครั้งต่อวัน
สารให้ความชุ่มชื้นที่ใช้ได้มีหลายชนิด ชนิดที่เป็นขี้ผึ้ง (ointment) จะดีที่สุด แต่หากสะดวกจะใช้วาสลีน หรือครีม ก็ใช้ได้เช่นกัน รวมทั้งครีมยาหรือโลชั่นยาชนิดปราศจากสเตียรอยด์ โดยเมื่อเลือกชนิดของสารให้ความชุ่มชื้น คุณอาจต้องลองใช้ดูก่อนหลายๆ ชนิด เพื่อหาว่าแบบไหนที่ดีที่สุดสำหรับลูกของคุณ 

การรักษาผื่นแพ้ในเด็กทำยังไงได้บ้าง

เมื่ออาการผื่นแพ้ของลูกกำเริบ การรักษาที่ใช้โดยทั่วไป คือ ยาแอนตี้ฮิสทามีนชนิดทา เช่น Chlorphenoxamine และยาเสตียรอยด์ชนิดทา มีตั้งแต่ครีม Hydrocortisone ที่หาซื้อได้ตามร้านขายยา ซึ่งมีฤทธิ์อ่อนมากจนอาจใช้ทาหน้าได้ ไปจนถึงยาระดับแรงปานกลางและแรงมากที่ต้องให้แพทย์สั่งใช้เท่านั้น ซึ่งโดยทั่วไปแล้วจะหลีกเลี่ยงการใช้ยาสเตียรอยด์ที่มีฤทธิ์รุนแรงมากในเด็ก และมักใช้กลุ่มที่แรงปานกลางมากกว่า เช่น Mometasone และ 0.02% Triamcinolone ซึ่งแม้แต่ยาเหล่านี้เองก็ยังมีผลข้างเคียงได้ เช่น ทำให้ผิวบางและมีรอยแตก หากใช้ที่เดิมเป็นระยะเวลานานๆ และยาเหล่านี้ควรใช้อย่างระมัดระวังโดยเฉพาะการใช้กับใบหน้าของเด็กหรือบริเวณจุดอับ เช่น ในผ้าอ้อม
นอกจากนี้ยังมียาชนิดใหม่ที่ปราศจากสเตียรอยด์ที่ประกอบด้วยสารสำคัญ เช่น Pimecrolimus และ Tacrolimus รวมไปถึงยาปรับภูมิคุ้มกันตัวใหม่ๆ ซึ่งอาจช่วยป้องกันการกำเริบของอาการได้ด้วย หากเริ่มใช้ตั้งแต่เห็นสัญญาณของอาการคันหรือผื่นแพ้ โดยให้ใช้ 2 ครั้งต่อวัน ทาให้ทั่วบริเวณที่มีผื่นแพ้ รวมถึงใบหน้า แต่พึงระวังไว้ว่ายาเหล่านี้ห้ามใช้ในเด็กที่อายุต่ำกว่าสองขวบ และมีคำเตือนเรื่องการใช้อย่างต่อเนื่องเป็นระยะเวลานานเช่นกัน
 ยาต้านฮีสทามีน (Antihistamine) ชนิดรับประทาน ก็เป็นยาที่มักใช้เป็นส่วนหนึ่งในการรักษาผื่นแพ้ โดยค่อนข้างมีประโยชน์หากอาการคันรบกวนการนอนของลูก เพราะจะช่วยให้หลับได้สบายยิ่งขึ้น หรือหากลูกเกาเมื่อมีอาการคัน พ่อแม่อาจใช้การประคบเย็นช่วยบรรเทาด้วยได้ ในกรณีของผื่นแพ้ที่รักษาได้ยากมาก อาจต้องใช้วิธีอื่นๆ ในการรักษา ซึ่งมีทั้งการทำแผลและการให้สเตียรอยด์กิน การใช้รังสียูวี และการใช้ยากดภูมิคุ้มกันอื่นๆ ซึ่งวิธีเหล่านี้ขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ


ขอขอบคุณข้อมูลจาก www.honestdocs.co