- หาเวลา 'พักผ่อน' สัก 20 นาที ในช่วงสายและช่วงบ่ายจะช่วยให้คุณรู้สึกสดชื่นขึ้น
- การพาดเท้าให้สูงขึ้นจะช่วยบรรเทาอาการบวมน้ำ ( fluid retention) และช่วยให้คุณรู้สึกผ่อนคลายมากขึ้น
- หากคุณรู้สึกเหนื่อยล้า การรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ในปริมาณที่เหมาะสมยิ่งมีความสำคัญมากขึ้น เพื่อช่วยให้ร่างกายมีระดับภูมิต้านทานที่แข็งแรงอยู่เสมอ
- อาหารที่อุดมด้วยธาตุเหล็ก เช่น ผักใบเขียว สามารถช่วยเสริมสร้างพลังงานในร่างกายได้อีกด้วย
- พยายามหลีกเลี่ยงการพึ่งพาอาหารรสหวานเพื่อช่วยให้คุณไม่เหนื่อยง่าย มีแรงตลอดทั้งวัน
- พยายามใช้เครื่องช่วยอำนวยความสะดวกทุกอย่างที่มี
- หาเวลาพักผ่อน เช่าหนังมาดูสักเรื่อง ช็อปปิ้งทางอินเทอร์เน็ต ทำอะไรก็ได้ที่คุณอยากทำ
- หรืออาจจะหยุดงานสักวัน เพราะคุณสมควรจะพักผ่อนบ้าง
สมุนไพรไทย เพื่อดูแลสุขภาพคุณแม่มือใหม่ และ สมุนไพรไทยเพื่อผู้สูงอายุ
ดูสินค้าเพิ่มเติมได้ที่
www.kasidit-herbal.com
วันอาทิตย์ที่ 19 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555
วิธีการจัดการกับความเหนื่อยล้าระหว่างตั้งครรภ์
การรับมือกับความเหนื่อยล้าระหว่างตั้งครรภ์อาจทำได้ยากสักหน่อย
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในระยะท้ายๆของการตั้งครรภ์
มีอยู่สองสามวิธีที่สามารถช่วยให้คุณรู้สึกเหนื่อยน้อยลงได้
วันเสาร์ที่ 18 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555
เหตุใดคุณจึงเป็นโรคเชื้อราในช่องคลอดระหว่างตั้งครรภ์
โรคเชื้อราในช่องคลอด ( Thrush) คือ การติดเชื้อราในบริเวณช่องคลอด ซึ่งมีสาเหตุมาจากเชื้อยีสต์ชนิดหนึ่งที่เรียกกันว่า "แคนดิดา อัลบิแคนส์" (Candida albicans) คนส่วนใหญ่จะมีเชื้อราอาศัยอยู่ในร่างกาย ซึ่งโดยปกติแล้ว เชื้อราจะไม่ก่อให้เกิดปัญหาแต่อย่างใด แต่ในระหว่างที่ตั้งครรภ์นั้น สภาพภายในร่างกายของเราจะเกิดการเปลี่ยนแปลง ประกอบกับความสมดุลของกรด-ด่างที่เปลี่ยนไปจากเดิมซึ่งจะส่งเสริมการเจริญเติบโตของเชื้อยีสต์ดังกล่าว ซึ่งนำไปสู่การเกิดโรคเชื้อราในช่องคลอดได้
โรคเชื้อราในช่องคลอดมีอาการอย่างไรบ้าง
- อาการของแต่ละคนจะแตกต่างกันเล็กน้อย แต่หากคุณสังเกตเห็นอาการเหล่านี้ตั้งแต่หนึ่งอย่างขึ้นไป แสดงว่าคุณอาจเป็นโรคเชื้อราในช่องคลอด
- อาการคันหรือแสบร้อนภายในหรือรอบๆ ช่องคลอด
- อาการเจ็บโดยทั่วไปและ/หรือบวมแดง
- อาการเจ็บระหว่างมีเพศสัมพันธ์หรือขณะปัสสาวะ
ตกขาวที่มีลักษณะขาวขุ่นและข้นกว่าปกติ การมีตกขาวที่มีลักษณะใส มีสีขาวคล้ายน้ำนมออกมามากขึ้นระหว่างตั้งครรภ์ถือเป็นเรื่องปกติ แต่หากคุณสังเกตเห็นว่าตกขาวมีลักษณะข้นขึ้น คล้ายกับคอตเทจ ชีส ( cottage cheese) นั่นอาจจะเป็นอาการอย่างหนึ่งของโรคเชื้อราในช่องคลอด
ฉันควรโทรหาสูติแพทย์หรือพยาบาลผดุงครรภ์หรือไม่
หากคุณคิดว่าอาจเป็นโรคเชื้อราในช่องคลอด ควรแจ้งให้พยาบาลผดุงครรภ์หรือสูติแพทย์ของคุณทราบโดยเร็วที่สุดเพื่อหาวิธีการรักษาที่เหมาะสมต่อไป
วิธีการรักษาโรคเชื้อราในช่องคลอดอย่างปลอดภัย
- การซื้อยาจากร้านขายยามาใช้เองระหว่างตั้งครรภ์เป็นสิ่งที่ไม่ควรทำ ควรปรึกษาสูติแพทย์หรือพยาบาลผดุงครรภ์ของคุณก่อนซื้อยาใดๆ
- ใช้ผ้าห่อน้ำแข็งหรือแผ่นประคบที่มีสารสกัดจากวิทช์ เฮเซล ( witch-hazel compress) เพื่อบรรเทาอาการในบริเวณดังกล่าว
- หลีกเลี่ยงการอาบน้ำอุ่นหรือแช่น้ำอุ่น เชื้อราที่เป็นสาเหตุของโรคเชื้อราในช่องคลอดจะเจริญเติบโตได้ดีในสภาพอากาศที่อบอุ่น
- ควรใช้เจลอาบน้ำหรือสบู่ที่ปราศจากส่วนผสมของน้ำหอม
- สวมกางเกงชั้นในที่ทำจากผ้าฝ้ายที่ไม่รัดแน่นจนเกินไปเพื่อให้อากาศถ่ายเทได้สะดวก
- รับประทานโยเกิร์ตชนิดธรรมดาซึ่งมีจุลินทรีย์ก็สามารถช่วยได้เช่นกัน
โรคเชื้อราในช่องคลอดกับลูกน้อยของคุณ
ถึงแม้ว่าโรคเชื้อราในช่องคลอดอาจสร้างความรำคาญอย่างมาก แต่ก็ไม่เป็นอันตรายต่อลูกน้อยในครรภ์ แต่ก็มีโอกาสที่จะติดต่อไปยังลูกได้ในระหว่างคลอดและทำให้คุณรู้สึกเจ็บระหว่างให้นมลูกได้ ถ้าจะให้ดี คุณควรรักษาให้หายก่อนที่จะคลอด
โรคเชื้อราในช่องคลอดกับลูกน้อยของคุณ
ถึงแม้ว่าโรคเชื้อราในช่องคลอดอาจสร้างความรำคาญอย่างมาก แต่ก็ไม่เป็นอันตรายต่อลูกน้อยในครรภ์ แต่ก็มีโอกาสที่จะติดต่อไปยังลูกได้ในระหว่างคลอด ถ้าจะให้ดีคุณควรรักษาให้หายก่อนที่จะคลอด
วันศุกร์ที่ 17 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555
อาการบวมระหว่างตั้งครรภ์เป็นอาการทั่วไปใช่หรือไม่
อาการบวมหรือรู้สึกตัวพองระหว่างการตั้งครรภ์ เป็นปฏิกิริยาทางธรรมชาติที่มีต่อปริมาณของเหลวในร่างกายที่เพิ่มขึ้นซึ่งคุณแม่ต้องแบกรับไปทุกแห่งหน คุณแม่ส่วนใหญ่จะรู้สึกบวมที่บริเวณข้อเท้าและเท้าหากต้องยืนนานๆ บางท่าน แหวนที่สวมอยู่รัดแน่นขึ้น หรือหน้าบวมขึ้นด้วย
อาการบวมที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ช่วงตอนกลางวันและบวมเพิ่มมากขึ้นในช่วงเย็น มักเกิดจากกิจกรรมต่างๆในระหว่างวันของคุณแม่หรือสภาพอากาศที่ร้อนอบอ้าว ถึงอาการบวมอาจทำให้คุณรู้สึกอึดอัด แต่โดยทั่วไปแล้วอาการบวมระหว่างตั้งครรภ์โดยปราศจากอาการอื่นๆร่วมด้วยนั้นไม่ใช่เรื่องที่น่ากังวลและไม่เป็นอันตรายต่อคุณและลูกน้อย แต่หากบวมมากเกินไป บางครั้งอาจเป็นเพราะความดันเลือดสูงขึ้น จึงควรหมั่นสังเกตอาการและปรึกษาสูติแพทย์หรือพยาบาลผดุงครรภ์หากคุณรู้สึกกังวล
วิธีการลดอาการบวมระหว่างตั้งครรภ์
- การรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพสามารถช่วยลดอาการบวมลงได้ เชื่อกันว่ากระเทียม หัวหอมสดและแอปเปิ้ลมีประสิทธิภาพดีเป็นพิเศษและควรหลีกเลี่ยงอาหารรสเค็มซึ่งจะทำให้คุณขาดน้ำได้
- พยายามออกกำลังกายเป็นประจำสม่ำเสมอ โดยเฉพาะ การออกกำลังกายด้วยการเดิน
- ดื่มน้ำเปล่าหรือเครื่องดื่มให้เพียงพออย่างน้อยวันละหกถึงแปดแก้ว หรือพยายามทานผักและผลไม้ที่มีน้ำเป็นส่วนประกอบหลัก หากคุณดื่มน้ำไม่เพียงพอต่อความต้องการ ร่างกายของคุณอาจพยายามกักเก็บน้ำไว้ในร่างกายมากขึ้น ซึ่งจะทำให้คุณยิ่งบวมขึ้น
- หาเวลาพักผ่อนระหว่างวันเมื่อใดก็ตามโอกาส โดยพาดเท้าไว้ให้สูงกว่าระดับเอว
- หลีกเลี่ยงการยืนเป็นระยะเวลานานๆ
- การนวดแบบผ่อนคลายก็สามารถลดอาการบวมได้เช่นกัน
- ควรนอนตะแคงซ้ายเพื่อหลีกเลี่ยงการทิ้งน้ำหนักไปกดทับเส้นเลือดดำใหญ่ที่ชื่อว่าเวนาคาวา ( vena cava) ซึ่งอยู่ทางด้านขวาของร่างกาย
วันพฤหัสบดีที่ 16 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555
ทำไมเกิดรอยแตกลายขึ้นกับว่าที่คุณแม่และรอยแตกลายที่ว่าคืออะไร
ผู้เชี่ยวชาญส่วนใหญ่เชื่อว่ารอยแตกลายจะปรากฏขึ้นระหว่างการตั้งครรภ์เนื่องจากผิวหนังมีการยืดตัว ทำให้เกิดการฉีกขาดในชั้นผิวหนังที่อยู่ลึกลงไป รอยแตกลายจะมีสีแดงหรือน้ำตาล ซึ่งขึ้นกับโทนสีของผิวคุณ โดยรอยแตกลายจะมีสีเข้มขึ้นเรื่อยๆในระยะตั้งครรภ์และจะเปลี่ยนเป็นสีขาวนวลใกล้เคียงสีผิวในช่วง 2-3 เดือนหลังคลอด หากช่วงนี้รอยแตกลายค่อนข้างเด่นชัด ก็ไม่ต้องกังวลต่อไป เพราะรอยเหล่านั้นจะค่อยๆจางลงไปเอง
แม้ว่าคุณจะไม่สามารถยับยั้งการเกิดรอยแตกลายได้ แต่ก็สบายใจได้ด้วยวิธีง่ายๆที่จะช่วยลดการเกิดรอยแตกลายไปมากกว่านี้ นั่นก็คือ
- รับประทาน อาหารที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพ ซึ่งอุดมไปด้วยผลไม้และผักสด ธัญพืช เมล็ดพืชเปลือกแข็งและถั่วชนิดต่างๆ
- ดื่มน้ำให้เพียงพอ
- เพิ่มน้ำหนักตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไปและสม่ำเสมอ หากสามารถทำได้
- ออกกำลังกาย เบาๆ โดยสม่ำเสมอ เพื่อช่วยควบคุม การเพิ่มน้ำหนัก
- วิตามินอีจะช่วยให้ผิวหนังคงความยืดหยุ่นอยู่เสมอ คุณแม่สามารถนวดหน้าท้อง ต้นขาและสะโพกด้วยครีมหรือน้ำมันที่มีส่วนผสมของวิตามินอีได้
ไม่มี วิธีการใด ที่รับรองได้ว่าสามารถขจัดรอยแตกลายได้อย่างสมบูรณ์ แม้แต่การขจัดริ้วรอยด้วยเลเซอร์ก็ยังไม่ได้ผล 100% เสมอไป พูดง่ายๆ ก็คือ วิธีที่ใช้ได้ผลสำหรับคุณแม่คนหนึ่งอาจใช้ไม่ได้ผลกับคุณ อย่างไรก็ตาม นักบำบัดโดยส่วนใหญ่แนะนำให้ใช้วิธีการนวดด้วยมอยส์เจอร์ไรเซอร์ชนิดใดชนิดหนึ่งต่อไปนี้เป็นประจำทุกวัน ทั้งก่อนและหลังการตั้งครรภ์
- น้ำมันจมูกข้าวสาลี ( Wheat germ oil)
- น้ำมันอัลมอนด์ ( Almond oil)
- ครีมที่มีส่วนผสมของวิตามินอี
- ไขมันจากเมล็ดโกโก้ที่เรียกว่า เนยโกโก้ ( Cocoa butter)
วันพุธที่ 15 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555
โรคกระเพาะปัสสาวะอักเสบคืออะไร
โรคกระเพาะปัสสาวะอักเสบ ( Cystitis) คือ
การติดเชื้อที่กระเพาะปัสสาวะซึ่งก่อให้เกิดอาการแสบร้อนในขณะปัสสาวะ โดยปกติแล้ว
ปัสสาวะจะปราศจากเชื้อโรคโดยธรรมชาติ แต่ระหว่างการตั้งครรภ์
ทางเดินปัสสาวะจะคลายตัวและขยายออก ดังนั้น
โอกาสที่แบคทีเรียจะเข้าสู่ทางเดินปัสสาวะก็เพิ่มขึ้นด้วย
นั่นหมายความว่าคุณแม่มีโอกาสเป็นโรคกระเพาะปัสสาวะอักเสบมากขึ้น
อาการของโรคกระเพาะปัสสาวะอักเสบ
- ปวด รู้สึกแสบร้อนหรือระคายเคืองขณะปัสสาวะ
- ปวดปัสสาวะบ่อยและรู้สึกปวดปัสสาวะมาก แต่มีปัสสาวะออกมาเพียงเล็กน้อย
การป้องกันโรคกระเพาะปัสสาวะอักเสบ
ลองปฏิบัติตามขั้นตอนง่ายๆ ต่อไปนี้เพื่อช่วยป้องกันการติดเชื้อในกระเพาะปัสสาวะ
- ปัสสาวะทันทีหลังมีเพศสัมพันธ์
- หลังจากปัสสาวะเสร็จเรียบร้อย ให้เช็ดจากด้านหน้าไปด้านหลัง
- อย่ากลั้นปัสสาวะโดยไม่จำเป็น และพยายามปัสสาวะให้สุดเท่าที่จะทำได้
- ดูแลรักษาความสะอาดบริเวณจุดซ่อนเร้น ควรหลีกเลี่ยงการอาบน้ำบ่อยหรืออาบน้ำเป็นเวลานานๆ และหลีกเลี่ยงการใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของน้ำหอมหรือสารยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อจุลินทรีย์
- สวมกางเกงชั้นในผ้าฝ้ายและหลีกเลี่ยงการใส่กางเกงยีนส์หรือกางเกงขายาวแนบเนื้อ
- ดื่มน้ำให้เพียงพอ
การรักษาโรคกระเพาะปัสสาวะอักเสบ
โดยปกติ โรคกระเพาะปัสสาวะอักเสบสามารถรักษาให้หายขาดด้วยการรับประทานยาปฏิชีวนะเป็นระยะเวลาสั้นๆ โดยไม่เป็นอันตรายต่อลูกน้อยในครรภ์และระหว่างที่ยังไม่หายขาด ควรดื่มน้ำให้เพียงพอ เชื่อกันว่าการดื่มน้ำ แครนเบอร์รี่จะช่วยบรรเทาอาการได้เช่นกัน
วันอังคารที่ 14 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555
รู้จักกับอาการปวดท้องระหว่างตั้งครรภ์
อาการปวดท้องระหว่างตั้งครรภ์ไม่ใช่สิ่งผิดปกติ และไม่ใช่สิ่งที่น่าวิตกกังวลแต่อย่างใด แต่บางครั้ง อาการปวดท้อง หรือ อาการปวดเกร็งท้องอาจเป็นสัญญาณของอาการที่น่าเป็นห่วงบางอย่าง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หากคุณมีอาการอื่นๆ ร่วมด้วยในขณะเดียวกัน
สาเหตุทั่วไปของอาการปวดท้อง
- อาหารไม่ย่อยหรือรู้สึกแสบร้อนที่หน้าอก (heartburn) – บางครั้งอาการปวดท้องอาจเกิดร่วมกับอาการคลื่นไส้อาเจียน
- เส้นเอ็นรอบมดลูกของคุณยืดตัว – นี่เป็นสาเหตุของอาการปวดเกร็งท้องที่ไม่รุนแรง
- ความรู้สึกตึงเครียด – อาจเป็นสาเหตุของอาการปวดเกร็งท้องระหว่างหรือหลังจากถึงจุดสุดยอด ( orgasm)
สาเหตุของอาการปวดท้องที่น่าเป็นห่วงมากขึ้น
บางครั้ง อาการปวดท้องอาจบ่งบอกถึงความผิดปกติบางอย่างที่น่าเป็นห่วง ดังนั้น หากคุณพบกับอาการใดๆ ดังต่อไปนี้ โปรดปรึกษาแพทย์โดยทันที
- ภาวะครรภ์เป็นพิษ – อาการปวดท้องที่เกิดขึ้นร่วมกับอาการอื่นๆ
- การตั้งครรภ์นอกมดลูก – อาการปวดท้องที่เกิดขึ้นทั่วทั้งบริเวณท้อง
- การแท้ง – อาการปวดเกร็งช่องท้องที่เกิดขึ้นร่วมกับมีเลือดออกทางช่องคลอด
- การคลอดก่อนกำหนด – มีอาการปวดท้อง หรือ ปวดเกร็ง ที่เกิดร่วมกับท้องร่วง ปวดหลัง หรือ การหดรัดตัว ในช่วงสัปดาห์ที่ 20 ถึง 36
อาการปวดระหว่างตั้งครรภ์ที่เกิดขึ้นในช่วงหัวค่ำถือเป็นอาการปกติคุณแม่ไม่จำเป็นต้องวิตกกังวลอะไรมากนัก พยายามนึกเสมอว่าคุณเท่านั้นที่รู้จักร่างกายของตัวคุณเองดีกว่าใครทั้งหมด ดังนั้นถ้าอาการเจ็บหรือปวดทำให้คุณรู้สึกกังวลใจ ควรปรึกษาสูติแพทย์หรือพยาบาลผดุงครรภ์ทันที ถึงแม้ว่าอาการปวดที่เกิดขึ้นนั้นจะมีสาเหตุมาจากอาหารไม่ย่อย แต่การป้องกันไว้ก่อน ย่อมดีกว่ามานั่งเสียใจในภายหลัง
วันจันทร์ที่ 13 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555
เลือดออกกะปริดกะปรอยระหว่างตั้งครรภ์คืออะไร
ออกกะปริดกะปรอยระหว่างตั้งครรภ์ ( pregnancy spotting) จะคล้ายกับการมีรอบเดือนที่มีเลือดออกน้อยมาก ซึ่งพบมากในช่วงสามเดือนแรกของการตั้งครรภ์ คุณแม่อาจมีเลือดไหลออกมาแบบกะปริดกะปรอย ซึ่งเกิดจากไข่ที่ได้รับการผสมแล้ว ฝังตัวเข้ากับผนังมดลูก เลือดออกกะปริดกะปรอยที่มีอาการอื่นๆ ร่วมด้วยอาจเป็นสัญญาณของอาการที่น่าเป็นห่วงบางอย่าง ไม่ว่าจะเป็นการแท้งบุตรหรือการตั้งครรภ์นอกมดลูก (ectopic pregnancy) เพราะฉะนั้นการปรึกษากับสูติแพทย์หรือพยาบาลผดุงครรภ์ของคุณทุกครั้งที่สังเกตเห็นเลือดออกระหว่างตั้งครรภ์จึงเป็นสิ่งที่คุณแม่สมควรทำที่สุด หากมีอาการเลือดออกกะปริดกะปรอยในช่วงสามเดือนก่อนคลอด อาจส่งผลต่อการคลอดก่อนกำหนด หากเกิดอาการนี้กับคุณในช่วงนี้ควรโทรหาสูติแพทย์หรือพยาบาลผดุงครรภ์โดยเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้เพื่อทราบสาเหตุที่ชัดเจน แต่ทางที่ดีที่สุดคุณควรจะเข้ารับการตรวจร่างกายเพื่อป้องกันไว้ก่อนดีกว่า
เลือดออก
เลือดออกในระยะแรกของการตั้งครรภ์อาจเป็นสิ่งที่น่ากังวล แต่ก็เป็นสิ่งที่พบได้บ่อยจนน่าประหลาดใจ
ในระยะแรกๆ ของการตั้งครรภ์ คุณแม่บางท่านอาจมีเลือดออกเล็กน้อยเป็นเวลา 1-2 วันเพราะไข่ที่ได้รับการผสมแล้ว ได้ฝังตัวกับผนังมดลูก หลังจากนั้น รกจะฝังตัวในเยื่อบุมดลูกซึ่งอาจจะทำให้มีเลือดออกเล็กน้อยได้เช่นกัน ในบางครั้ง ว่าที่คุณแม่อาจรู้สึกว่าปากมดลูกอ่อนนุ่มซึ่งอาจเป็นสาเหตุทำให้มีเลือดออกในช่วงแรกของการตั้งครรภ์ได้
ฮอร์โมนในช่วงตั้งครรภ์จะทำให้คุณไม่มีประจำเดือน แต่การเแปรปรวนของรอบเดือนอาจเกิดขึ้นได้บ้าง ทำให้ว่าที่คุณแม่บางท่านอาจมีเลือดออกในช่วงที่ครบกำหนดการมีรอบเดือนตามปกติได้
นอกจากนี้ เลือดออกระหว่างตั้งครรภ์อาจสัมพันธ์กับการติดเชื้อในช่องคลอดหรือปากมดลูก (vaginal or cervical infection) หรือ ติ่งเนื้อ (polyp) และยังอาจเกิดขึ้นหลังการมีเพศสัมพันธ์ได้ด้วยเช่นกัน คุณควรปรึกษากับพยาบาลผดุงครรภ์หรือสูติแพทย์เกี่ยวกับอาการเลือดออกที่เกิดขึ้นในช่วงตั้งครรภ์เสมอ เพราะคุณอาจต้องเข้ารับการสแกนเพื่อหาสาเหตุของอาการดังกล่าวตั้งแต่เนิ่นๆ
โดยส่วนใหญ่ แพทย์มักจะไม่พบสาเหตุของอาการเลือดออกในระยะแรกเริ่มของการตั้งครรภ์ และการตั้งครรภ์ก็ยังเป็นไปตามปกติอย่างต่อเนื่องจนครบกำหนดและคลอดบุตรที่มีสุขภาพแข็งแรงสมบูรณ์
ตกขาวที่เพิ่มขึ้นระหว่างตั้งครรภ์
ไม่ต้องวิตกกังวลหากคุณสังเกตเห็นว่าคุณมีตกขาวออกมามากกว่าปกติระหว่างการตั้งครรภ์ เพราะนี่คืออาการทั่วไปในหญิงมีครรภ์ทุกคน ตกขาวที่มีปริมาณมากขึ้นนี้เกิดจากเลือดที่ไหลมาหล่อเลี้ยงบริเวณช่องคลอดมีปริมาณเพิ่มขึ้น โดยจะมีลักษณะขาว ใสและไม่มีอาการคัน และตกขาวจะมีลักษณะข้นขึ้นเมื่อใกล้ครบกำหนดคลอด ซึ่งเป็นสัญญาณที่ดีว่าลูกน้อยของคุณใกล้ออกมาลืมตาดูโลกแล้ว
อย่างไรก็ตาม ในบางครั้งตกขาวอาจเป็นสัญญาณของการติดเชื้อหรือโรคเชื้อราในช่องคลอด ( thrush) โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หากมีอาการคันหรือมีอาการแสบร้อนร่วมด้วย โดยลักษณะนี้ ตกขาวจะค่อนข้างขุ่นข้น มีสีเขียวหรือเหลือง และอาจมีกลิ่นเหม็น หากคุณแม่สังเกตเห็นอาการเหล่านี้ ควรติดต่อสูติแพทย์หรือพยาบาลผดุงครรภ์ของคุณทันที เพื่อตรวจสอบและช่วยรักษาอาการดังกล่าวได้
การจัดการกับตกขาวที่มีลักษณะข้นขึ้น
โดยทั่วไปแล้ว ตกขาวมักจะสร้างความรู้สึกรำคาญมากกว่าความรู้สึกวิตกกังวล หากคุณมีอาการตกขาว พยายามนึกไว้เสมอว่าแล้วอาการนี้ก็จะหายไปทันที่ที่คลอดลูกน้อย
- หากรู้สึกว่าตกขาวทำให้คุณรำคาญหรือไม่สบายตัวเนื่องจากเปรอะเปื้อนกางเกงชั้นใน ให้ใช้แผ่นอนามัยเพื่อรองซับเอาไว้ (ดีกว่าใช้ผ้าอนามัยแบบสอด)
- ชำระล้างบริเวณดังกล่าวด้วยน้ำอุ่นเป็นประจำ และหลีกเลี่ยงการใช้สบู่ที่มีส่วนผสมของน้ำหอมซึ่งจะทำให้การติดเชื้อรุนแรงขึ้นได้
- สวมกางเกงชั้นในผ้าฝ้ายเนื้อบางเบา
การจัดการกับตกขาวที่มีลักษณะข้นขึ้น
โดยทั่วไปแล้ว ตกขาวมักจะสร้างความรู้สึกรำคาญมากกว่าความรู้สึกวิตกกังวล หากคุณมีอาการตกขาว พยายามนึกไว้เสมอว่าแล้วอาการนี้ก็จะหายไปทันที่ที่คลอดลูกน้อย
- หากรู้สึกว่าตกขาวทำให้คุณรำคาญหรือไม่สบายตัวเนื่องจากเปรอะเปื้อนกางเกงชั้นใน ให้ใช้แผ่นอนามัยเพื่อรองซับเอาไว้ (ดีกว่าใช้ผ้าอนามัยแบบสอด)
- ชำระล้างบริเวณดังกล่าวด้วยน้ำอุ่นเป็นประจำ และหลีกเลี่ยงการใช้สบู่ที่มีส่วนผสมของน้ำหอมซึ่งจะทำให้การติดเชื้อรุนแรงขึ้นได้
- สวมกางเกงชั้นในผ้าฝ้ายเนื้อบางเบา
วันอาทิตย์ที่ 12 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555
ทำไมคุณจึงรู้สึกเจ็บคัดเต้านม
การเปลี่ยนแปลงของระดับฮอร์โมนในร่างกายจะทำให้เต้านมไวต่อความรู้สึกและมีอาการเจ็บคัดเต้านม
เช่นเดียวกับอาการหลายอย่างที่มาพร้อมกับการตั้งครรภ์ ด้วยเหตุนี้เอง
อาการเจ็บคัดเต้านมจึงเป็นอาการที่หญิงมีครรภ์ส่วนใหญ่มักบ่นถึงในช่วงสามเดือนแรกของการตั้งครรภ์
แต่อาการเจ็บนี้จะลดลงทันทีที่ร่างกายสามารถปรับสภาพกับระดับฮอร์โมนที่เพิ่มสูงขึ้นในช่วงตั้งครรภ์ได้แล้ว
ในบางครั้งอาการเจ็บคัดเต้านมอาจเกิดขึ้นเนื่องจากเต้านมของคุณมีขนาดใหญ่ขึ้นค่อนข้างรวดเร็ว เพราะระหว่างการตั้งครรภ์ ขนาดของเต้านมของคุณอาจเพิ่มขึ้นอีก 2-3 คัพไซส์ หรือมากกว่านั้น เนื่องจากต่อมน้ำนมมีขนาดใหญ่ขึ้นและปริมาณเลือดที่ไปหล่อเลี้ยงเต้านมก็จะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆและบางครั้ง การสวมชุดชั้นในที่มีขนาดไม่เหมาะสมก็อาจทำให้รู้สึกเจ็บคัดเต้านมได้เช่นกัน เพราะฉะนั้นควรตรวจดูให้แน่ใจว่าชุดชั้นในที่คุณสวมใส่มีขนาดเหมาะสมหรือเปล่า
ในบางครั้งอาการเจ็บคัดเต้านมอาจเกิดขึ้นเนื่องจากเต้านมของคุณมีขนาดใหญ่ขึ้นค่อนข้างรวดเร็ว เพราะระหว่างการตั้งครรภ์ ขนาดของเต้านมของคุณอาจเพิ่มขึ้นอีก 2-3 คัพไซส์ หรือมากกว่านั้น เนื่องจากต่อมน้ำนมมีขนาดใหญ่ขึ้นและปริมาณเลือดที่ไปหล่อเลี้ยงเต้านมก็จะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆและบางครั้ง การสวมชุดชั้นในที่มีขนาดไม่เหมาะสมก็อาจทำให้รู้สึกเจ็บคัดเต้านมได้เช่นกัน เพราะฉะนั้นควรตรวจดูให้แน่ใจว่าชุดชั้นในที่คุณสวมใส่มีขนาดเหมาะสมหรือเปล่า
วิธีการจัดการกับอาการเจ็บคัดเต้านม
สาเหตุส่วนใหญ่ของอาการเจ็บคัดเต้านมมาจากฮอร์โมนซึ่งทำให้เต้านมมีขนาดใหญ่ขึ้น วิธีที่ดีที่สุดที่จะช่วยให้อาการเจ็บลดลงก็คือการสวมชุดชั้นในที่มีขนาดเหมาะสม ช่วยให้คุณรู้สึกสบายตัวมากขึ้นเมื่อสวมชุดชั้นในสำหรับใส่นอนระหว่างการตั้งครรภ์ในระยะแรกๆ
ห้างสรรพสินค้าขนาดใหญ่ส่วนมากจะมีบริการวัดขนาดที่เหมาะสมกับร่างกาย ซึ่งทางห้างก็ยินดที่จะวัดขนาดและช่วยเลือกว่าชุดชั้นในที่คุณเลือกนั้นเหมาะสมกับสรีระของคุณหรือไม่ อีกอย่าง เต้านมของคุณจะมีขนาดใหญ่ขึ้นได้ตลอดช่วงระยะเวลาตั้งครรภ์ ดังนั้นคุณอาจจะต้องซื้อชุดชั้นในที่มีขนาดใหญ่ขึ้นอีกเล็กน้อยในภายหลัง สำหรับคุณแม่ตั้งครรภ์ที่ต้องการออกกำลังกาย สิ่งสำคัญที่ควรทราบอีกอย่างหนึ่งก็คือ เต้านมของคุณต้องการชุดชั้นในที่กระชับขึ้นอีกในขณะออกกำลังกาย ดังนั้น หากเป็นไปได้ คุณควรซื้อชุดชั้นในที่เหมาะสมสำหรับใส่ตอนออกกำลังกายด้วยเช่นกัน และอย่าลืมบอกคู่รักของคุณว่าบริเวณเต้านมของคุณนั้นไวต่อความรู้สึก เพื่อให้เขารู้ว่าคุณอาจไม่ต้องการให้เขาสัมผัสเวลาที่รู้สึกเจ็บคัดเต้านม
สาเหตุของการเกิดริดสีดวงทวารระหว่างตั้งครรภ์
ริดสีดวงทวารระหว่างตั้งครรภ์ที่เกิดขึ้นกับว่าที่คุณแม่มีอยู่หลายสาเหตุด้วยกันคือ
- เนื่องจากการไหลเวียนของเลือดในร่างกายที่เพิ่มมากขึ้นในช่วงตั้งครรภ์ ทำให้เส้นเลือดดำขยายตัวมากกว่าปกติ ซึ่งหมายถึงเส้นเลือดดำอันเปราะบางรอบๆทวารหนักอาจเคลื่อนไหวน้อยลงและมีอาการบวมขึ้นได้ โดยเฉพาะช่วงที่มดลูกเริ่มมีขนาดใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ ทำให้ไปเพิ่มความดันในเส้นเลือดดำมากขึ้น
- การออกแรงเบ่งอุจจาระก็เป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่พบได้บ่อยเช่นกัน เพราะฉะนั้น
หากว่าที่คุณแม่หลายๆ ท่านพบว่ากำลังมีอาการท้องผูก
ก็ควรจะรับประทานอาหารที่มีกากใยสูงและดื่มน้ำมากๆ
ซึ่งจะช่วยบรรเทาอาการของริดสีดวงทวารได้ทางหนึ่ง
ยารักษาริดสีดวงทวาร
การรักษาด้วยยาอาจเป็นเรื่องยากสักนิด เนื่องจากยาสำหรับรักษาริดสีดวงทวารที่สามารถใช้ได้ระหว่างตั้งครรภ์มีอยู่เพียงไม่กี่ชนิดเท่านั้น ดังนั้นควรสอบถามสูติแพทย์หรือพยาบาลผดุงครรภ์ว่าครีม ขี้ผึ้งหรือยาเหน็บสำหรับรักษาริดสีดวงทวารชนิดใดที่คุณสามารถใช้ได้
การดูแลรักษาด้วยตัวเอง
ยารักษาริดสีดวงทวาร ไม่ใช่คำตอบสุดท้ายในการรักษา ยังมีหนทางอื่นๆอีกสองสามวิธีที่คุณอาจลองนำไปใช้เพื่อช่วยให้ริดสีดวงทวารหายเร็วยิ่งขึ้น ดังนี้
- ควรหาโอกาสนอนตะแคงซ้ายทุกๆ 2-3 ชั่วโมง เพื่อช่วยคลายแรงดันภายในช่องท้อง หากสามารถทำได้ การยกขาพาดกับโต๊ะประมาณ 20 นาที ก็อาจช่วยได้บ้าง
- หลีกเลี่ยงการใช้สบู่ แป้งโรยตัวหรือผ้าเช็ดทำความสะอาดผิว ( wet wipes) ที่มีส่วนผสมของน้ำหอม ล้างก้นด้วยน้ำสะอาดหลังขับถ่ายและเช็ดให้แห้งสนิท คลายกางเกงชั้นในผ้าฝ้ายให้หลวมจะช่วยให้คุณรู้สึกสบายตัวขึ้น
- เข้าห้องน้ำทันทีเมื่อคุณรู้สึกปวดอุจจาระ อย่ากลั้นไว้โดยเด็ดขาด
- พยายามหลีกเลี่ยงการเบ่งอุจจาระหรืออาการท้องผูก
- พยายามออกกำลังกายเบาๆ วันละนิดเพื่อช่วยให้ลำไส้เคลื่อนไหวได้ดีขึ้น
- พยายามหลีกเลี่ยงการนั่งหรือการยืนเป็นเวลานานๆ และนั่งผ่อนคลายในอ่างน้ำอุ่นหากรู้สึกระคายเคืองที่ก้น หากการนั่งแช่น้ำอุ่นเป็นวิธีการที่ไม่เหมาะสำหรับคุณ ขอแนะนำให้ใช้ผ้าห่อน้ำแข็งประคบแทน
วันเสาร์ที่ 11 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555
ภาวะครรภ์เป็นพิษคืออะไร
ภาวะครรภ์เป็นพิษ ( Pre-eclampsia)
จะเกิดขึ้นเฉพาะช่วงตั้งครรภ์หรือเกิดขึ้นทันทีหลังคลอด
แต่โชคดีที่คุณแม่ตั้งครรภ์ที่มีภาวะนี้
ส่วนใหญ่แล้วมักมีอาการไม่รุนแรงและจะมีผลต่อคุณแม่ที่ตั้งครรภ์โดยเฉลี่ย 1 ใน 14
คนเท่านั้น แต่ก็มีบางครั้งที่ภาวะครรภ์เป็นพิษอาจรุนแรงขึ้น
แต่ก็ยังเป็นเรื่องซับซ้อนและไม่เป็นที่เข้าใจชัดเจนนักของอาการที่รุนแรงขึ้นดังกล่าว
แต่ส่วนใหญ่แล้วอาจเกิดจากความบกพร่องของรก
ทำให้เป็นอุปสรรคต่อการลำเลียงเลือดและสารอาหารไปยังทารกน้อยในครรภ์
จึงส่งผลกระทบต่อการเติบโตของทารกในครรภ์ได้
เป็นเรื่องยากสักนิดที่ภาวะครรภ์เป็นพิษในระยะเริ่มแรกนั้น จะไม่มีอาการภายนอกให้สังเกตเห็นได้อย่างชัดเจน แต่คุณแม่ตั้งครรภ์สามารถทราบได้จากการรับการตรวจครรภ์อย่างสม่ำเสมอ และสามารถตรวจพบได้ก่อนที่อาการจะรุนแรงขึ้น
สูติแพทย์หรือพยาบาลผดุงครรภ์ของคุณจะคอยสังเกตภาวะความดันเลือดสูง ระดับโปรตีนในปัสสาวะ และปัญหาการไหลเวียนเลือด เช่น การบวมน้ำ ซึ่งทั้งหมดนี้ล้วนแล้วแต่เชื่อมโยงกับภาวะครรภ์เป็นพิษ
แต่ก็ใช่จะสรุปได้ว่าคุณมีภาวะครรภ์เป็นพิษ เพราะความดันเลือดสูงและอาการบวมที่ไม่มากนักสามารถเกิดขึ้นได้ทั่วไปในระหว่างตั้งครรภ์ และไม่ได้บ่งชี้ถึงปัญหาที่รุนแรงเสมอไป นอกจากนี้ ระดับโปรตีนในปัสสาวะก็บ่งบอกถึงอาการติดเชื้อ ดังนั้นจึงเป็นการยากที่จะชี้ชัดถึงภาวะครรภ์เป็นพิษในช่วงเริ่มต้น
อย่างไรก็ตาม อาการต่อไปนี้อาจเกิดขึ้นในระยะต่อมาของการตั้งครรภ์ ดังนั้นหากคุณแม่มีอาการเช่นนี้ ควรปรึกษาแพทย์ทันที
อาการของภาวะครรภ์เป็นพิษ
เป็นเรื่องยากสักนิดที่ภาวะครรภ์เป็นพิษในระยะเริ่มแรกนั้น จะไม่มีอาการภายนอกให้สังเกตเห็นได้อย่างชัดเจน แต่คุณแม่ตั้งครรภ์สามารถทราบได้จากการรับการตรวจครรภ์อย่างสม่ำเสมอ และสามารถตรวจพบได้ก่อนที่อาการจะรุนแรงขึ้น
สูติแพทย์หรือพยาบาลผดุงครรภ์ของคุณจะคอยสังเกตภาวะความดันเลือดสูง ระดับโปรตีนในปัสสาวะ และปัญหาการไหลเวียนเลือด เช่น การบวมน้ำ ซึ่งทั้งหมดนี้ล้วนแล้วแต่เชื่อมโยงกับภาวะครรภ์เป็นพิษ
แต่ก็ใช่จะสรุปได้ว่าคุณมีภาวะครรภ์เป็นพิษ เพราะความดันเลือดสูงและอาการบวมที่ไม่มากนักสามารถเกิดขึ้นได้ทั่วไปในระหว่างตั้งครรภ์ และไม่ได้บ่งชี้ถึงปัญหาที่รุนแรงเสมอไป นอกจากนี้ ระดับโปรตีนในปัสสาวะก็บ่งบอกถึงอาการติดเชื้อ ดังนั้นจึงเป็นการยากที่จะชี้ชัดถึงภาวะครรภ์เป็นพิษในช่วงเริ่มต้น
อย่างไรก็ตาม อาการต่อไปนี้อาจเกิดขึ้นในระยะต่อมาของการตั้งครรภ์ ดังนั้นหากคุณแม่มีอาการเช่นนี้ ควรปรึกษาแพทย์ทันที
- ปวดศีรษะรุนแรง และมีอาการตาพร่ามัว หรือมองเห็นแสงเป็นจุดๆ หรือเห็นแสงวูบวาบร่วมด้วย
- จุกแน่นบริเวณลิ้นปี่
- คลื่นไส้อาเจียนแม้ว่านี่จะเป็นอาการแพ้ท้องโดยทั่วไปก็ตาม
- มีอาการบวมตามใบหน้า มือ ข้อเท้า และเท้า
- น้ำหนักเพิ่มขึ้นมากเกินไปอย่างรวดเร็ว
ใครมีโอกาสเสี่ยงต่อการเกิดภาวะนี้ได้มากที่สุด
ถึงแม้เราจะยังไม่ทราบแน่ชัดถึงสาเหตุที่แท้จริงของภาวะครรภ์เป็นพิษ แต่ก็มีปัจจัยหลายอย่างที่ทำให้หญิงมีครรภ์บางท่านมีภาวะเสี่ยงกว่าคนอื่นๆ นั่นคือ
- อายุ – สตรีที่ตั้งครรภ์เมื่ออายุน้อยกว่า 20 ปีหรือมากกว่า 35 ปีขึ้นไป
- น้ำหนัก– สตรีตั้งครรภ์ที่อ้วนเกินไป หรือมีดัชนีมวลกายตั้งแต่ 35 ขึ้นไป
- โรคประจำตัวในปัจจุบัน– เช่น เบาหวาน ความดันโลหิตสูง โรคลูปัส (systemic lupus erythematosus) โรคไต และไมเกรน
- ถ้าคุณเพิ่งตั้งครรภ์ครั้งแรก หรือนี่เป็นครรภ์แรกของคุณกับคู่สมรสคนใหม่
- ถ้าคุณตั้งครรภ์แฝด
- ระยะห่างระหว่างการตั้งครรภ์ – ส่วนใหญ่จะพบในคุณแม่ที่ตั้งครรภ์ลูกคนที่สองห่างจากครรภ์แรกมากกว่า 10 ปี
- ประวัติการมีภาวะครรภ์เป็นพิษ –
หากคุณหรือมารดาหรือพี่สาว/น้องสาวของคุณเคยมีภาวะนี้มาก่อน
การป้องกัน
เพราะโรคอ้วน เป็นปัจจัยเสี่ยงอย่างหนึ่งของภาวะครรภ์เป็นพิษ ดังนั้นผู้เชี่ยวชาญหลายท่านจึงแนะนำให้คุณแม่ตั้งครรภ์รับประทานอาหารอย่างสมดุลและถูกสุขลักษณะ เพื่อช่วยลดความเสี่ยงของภาวะนี้และจะเป็นการดีมากหากคุณสร้างนิสัยการรับประทานอาหารที่เป็นประโยชน์ต่อสุขภาพมาตั้งแต่ก่อนตั้งครรภ์ แต่ก็ไม่มีคำว่าสายเกินไปหากจะเริ่มตั้งแต่วันนี้ อย่างไรก็ตาม การสร้างนิสัยการทานที่ดีไม่ได้หมายความถึงการอดอาหาร เพราะการอดอาหารเป็นสิ่งที่ไม่ควรทำอย่างยิ่งในช่วงตั้งครรภ์ หากต้องการทราบข้อมูลเพิ่มเติม คุณสามารถขอคำแนะนำเรื่องอาหารที่ควรรับประทานจากสูติแพทย์หรือพยาบาลผดุงครรภ์ของคุณหรือสนทนาออนไลน์กับทีมงานผู้เชี่ยวชาญของเรา
สิ่งที่คุณแม่ต้องทำก็คือการไปตรวจครรภ์ตามนัดเป็นประจำทุกครั้ง เพื่อรับการตรวจความดันเลือดและตรวจปัสสาวะซึ่งเป็นการตรวจเช็คอาการครรภ์เป็นพิษ
ภาวะครรภ์เป็นพิษที่มีอาการเพียงเล็กน้อย (
Mild Pre-eclampsia)
คุณแม่ที่มีภาวะครรภ์เป็นพิษที่มีอาการเพียงเล็กน้อย อาจไม่จำเป็นต้องเข้ารับการรักษาเสมอไป เพียงแต่ต้องรับการตรวจร่างกายของคุณแม่และทารกในครรภ์อย่างสม่ำเสมอ บางราย อาจจำเป็นต้องรับประทานยาหรืออาหารเสริมหากคุณมีความดันเลือดต่ำ แต่ยาหรืออาหารเสริมเหล่านี้ ไม่ได้ป้องกันภาวะครรภ์เป็นพิษ แต่เป็นวิธีการควบคุมอาการของภาวะดังกล่าวเท่านั้น
ภาวะครรภ์เป็นพิษที่มีความเสี่ยงสูง (
Higher Risk Pre-eclampsia)
หากผลการตรวจวินิจฉัยว่าคุณมีภาวะครรภ์เป็นพิษที่มีความเสี่ยงสูงขึ้น แพทย์อาจจะแนะนำให้คุณพักผ่อนมากๆ และอาจจะต้องนอนพักที่โรงพยาบาลเป็นครั้งคราว ซึ่งแพทย์จะตรวจวัดความดันโลหิตเป็นประจำทุกวันและทำอัลตราซาวนด์อย่างสม่ำเสมอเพื่อติดตามพัฒนาการของลูกน้อยในครรภ์ หากคุณหรือลูกตกอยู่ในภาวะที่น่าเป็นห่วง แพทย์อาจฉีดยาเร่งคลอดให้แก่คุณเพื่อชักนำให้เกิดอาการเจ็บครรภ์คลอด หรือทำคลอดให้คุณด้วยการผ่าตัดคลอดทางหน้าท้อง ( caesarean section)
สำหรับข้อมูลเพิ่มเติม สามารถเปิดดูได้ที่เว็บไซต์ Pre-eclampsia Foundation หรือโทรติดต่อทีมผู้เชี่ยวชาญและพูดคุยปรึกษากับพยาบาลของเรา
วันศุกร์ที่ 10 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555
อาการแพ้ท้องเกิดจากอะไร
|
ความรู้สึกของการสูญเสียลูก
|
|
วันพฤหัสบดีที่ 9 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555
อาการแสบร้อนที่หน้าอก ( Heartburn) เกิดจากอะไร
ในขณะที่ตั้งครรภ์ ร่างกายจะผลิตฮอร์โมนโปรเจสเตอโรนมากขึ้นเป็นพิเศษเพื่อคลายกล้ามเนื้อส่วนต่างๆ ให้เอื้ออำนวยต่อการเติบโตของลูกน้อยในครรภ์ ซึ่งผลพวงจากกลไกนั้นทำให้ลิ้นปิดเปิดที่บริเวณทางเข้าของกระเพาะอาหารคลายตัวไปด้วย ส่งผลให้กรดในกระเพาะอาหารไหลย้อนกลับ เนื่องจากว่ากล้ามเนื้อทุกส่วนผ่อนคลายมากกว่าปกติ จึงทำให้อาหารเคลื่อนตัวผ่านระบบย่อยอาหารยากขึ้นตามไปด้วย และในขณะที่ครรภ์ของคุณมีขนาดใหญ่ขึ้น ทำให้ความดันในกระเพาะอาหารเพิ่มขึ้นซึ่งส่งผลให้เกิดอาการต่างๆ มากขึ้น
ถึงแม้ว่าอาการแสบร้อนที่หน้าอกระหว่างตั้งครรภ์เป็นสิ่งที่คุณแม่ไม่ชอบใจนัก แต่อย่างน้อยอาการนี้ก็มีผลดีต่อลูกน้อยในครรภ์อยู่บ้าง เนื่องจากว่า อาหารที่คุณแม่รับประทานเข้าไปต้องใช้เวลาในการเคลื่อนผ่านระบบย่อยอาหารนานขึ้น ซึ่ง ทำให้ลูกน้อยของคุณมีโอกาสได้รับสารอาหารอย่างเต็มที่
วิธีบรรเทาอาการแสบร้อนที่หน้าอก
หากคุณมีอาการแสบร้อนที่หน้าอกระหว่างตั้งครรภ์ วิธีการต่อไปนี้อาจช่วยให้อาการของคุณทุเลาลงได้:
- หลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารเผ็ดจัด ไขมันสูงหรือรับประทานอาหารมากจนเกินไป
- ไม่ควรดื่มเครื่องดื่มที่มีปริมาณคาเฟอีนสูงในช่วงตั้งครรภ์ เนื่องจากจะทำให้เกิดอาการแสบร้อนที่หน้าอกได้เช่นกัน ดังนั้น ระหว่างตั้งครรภ์ควรหลีกเลี่ยงเครื่องดื่มอย่างเช่น กาแฟ จะเป็นการดีที่สุด
- เลิกดื่มน้ำผลไม้รสเปรี้ยว แต่อย่าลืมรับประทานอาหารที่มีกากใยจากแหล่งอื่นแทน เช่น ขนมปัง โฮลเกรน ข้าวกล้อง อาหารเช้าที่ทำจากธัญพืชไม่ขัดขาวและพืชผักผลไม้ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นแหล่งอาหารที่อุดมด้วยกากใย
- เลิกหรือพยายามรับประทานช็อกโกแลตให้น้อยลง
- รับประทานอาหารครั้งละน้อย แต่รับประทานบ่อยขึ้นและอย่ารับประทานอาหารใกล้เวลานอนจนเกินไปนัก
- ดื่มน้ำสองแก้วก่อนถึงเวลารับประทานอาหารเพื่อช่วยในการย่อย
- เคี้ยวหมากฝรั่งหลังรับประทานอาหารเพื่อกระตุ้นการสร้างน้ำลาย ซึ่งจะช่วยปรับสมดุลของกรดในกระเพาะอาหาร
- การดื่มนมก่อนนอนก็สามารถช่วยบรรเทาอาการได้
- คุณแม่สมาชิกดูเม็กซ์แนะนำต่อๆกันมาเป็นเวลาช้านานว่าชาเปปเปอร์มินต์และกระเทียมสด (ไม่ใช่รับประทานด้วยกันนะคะ) สามารถช่วยบรรเทาอาการได้ ลองรับประทานกระเทียมชนิดแคปซูลแทน หากคุณไม่ชอบกลิ่นกระเทียมสด
- การใช้หมอนหนุนรองเพิ่มเล็กน้อยเวลานอนเพื่อให้หัวยกสูงขึ้นสามารถช่วยป้องกันอาการแสบร้อนที่หน้าอกได้เช่นกัน
- ประการสุดท้าย แพทย์อาจสั่งยาลดกรดให้แก่คุณ ยาบางชนิดที่มีจำหน่ายตามร้านขายยาอาจไม่ควรใช้ระหว่างตั้งครรภ์ ดังนั้น ควรปรึกษาสูติแพทย์ทุกครั้งก่อนใช้ยา
วันพุธที่ 8 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555
เหตุใดคุณจึงมีอาการวิงเวียนศีรษะระหว่างตั้งครรภ์
ช่วงสามเดือนแรกของการตั้งครรภ์ ระบบไหลเวียนเลือดของร่างกายจะมีการพัฒนาขึ้นอย่างรวดเร็วเพื่อส่งเลือดไปหล่อเลี้ยงลูกน้อยให้เพียงพอต่อความต้องการ ซึ่งหมายความว่าระบบไหลเวียนเลือดของคุณจะเริ่มทำงานหนักขึ้น และในไตรมาสที่ 2 ความดันเลือดในหลอดเลือดของคุณอาจทำให้คุณรู้สึกวิงเวียนศีรษะและไม่สบายได้ อาจมีสาเหตุอื่นๆ ที่ทำให้เกิดอาการวิงเวียนศีรษะระหว่างตั้งครรภ์ได้ด้วยเช่นกัน
- หากคุณทำกิจวัตรประจำวันโดยไม่ได้รับประทานอาหาร ระดับน้ำตาลในเลือดของคุณจะลดลงอย่างรวดเร็ว ซึ่งจะทำให้คุณรู้สึกวิงเวียนศีรษะเล็กน้อย การทานอาหารว่างจานด่วนจะช่วยเพิ่มพลังงานให้แก่ร่างกายได้
- การตั้งครรภ์ทำให้คุณรู้สึกร้อนได้ง่าย และเมื่อร่างกายร้อนจนเกินไปอาจทำให้คุณรู้สึกหน้ามืดตาลาย อากาศที่สดชื่นและเครื่องดื่มเย็นๆ จะช่วยทำให้คุณรู้สึกดีขึ้นได้
- โดยปกติแล้ว หากมีความดันเลือดต่ำอาจทำให้คุณรู้สึกเวียนหัวได้เช่นกัน
วิธีการป้องกันอาการวิงเวียนศีรษะระหว่างตั้งครรภ์
ในขณะที่ครรภ์ของคุณมีขนาดใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ จุดศูนย์ถ่วงของร่างกายของคุณจะเปลี่ยนไป เพราะฉะนั้น ควรทำกิจกรรมต่างๆ ให้ช้าลงอีกเล็กน้อย ขอให้ปฏิบัติตามคำแนะนำของเราแล้วคุณจะไม่เกิดอาการวิงเวียนจนเกินไป
- อย่ารีบลุกขึ้นจากเตียงนอนหรือเก้าอี้
- ควรอาบน้ำที่อุ่นกำลังดี อย่าอาบน้ำที่ร้อนจนเกินไป
- หากคุณต้องยืนเป็นระยะเวลานานๆ พยายามเกร็งกล้ามเนื้อสะโพกเล็กน้อยหรือขยับปลายเท้าอยู่เสมอเพื่อช่วยให้เลือดไหลเวียนได้ดีขึ้น
- ดมยาดมที่มีกลิ่นแรง
- อย่าปล่อยให้ท้องว่าง มิฉะนั้นระดับน้ำตาลในเลือดอาจลดลงอย่างรวดเร็ว
- เข้ารับการตรวจวัดความดันโลหิตจากพยาบาลผดุงครรภ์หรือแพทย์ของคุณ
- ดื่มน้ำให้เพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย
ควรไปพบแพทย์เมื่อไหร่
หากคุณรู้สึกมีอาการหน้ามืดและเวียนศีรษะระหว่างตั้งครรภ์อยู่เสมอ (โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หากมีอาการมองเห็นไม่ชัด ใจสั่น คลื่นไส้อาเจียน หรือปวดศีรษะ) ให้รีบติดต่อสูติแพทย์หรือพยาบาลผดุงครรภ์ของคุณโดยทันที และควรไปพบแพทย์เพื่อเข้ารับการตรวจอาการต่างๆโดยเร็วที่สุดเพื่อความสบายใจ
อาการท้องผูกเกิดขึ้นจากสาเหตุใด
ระหว่างตั้งครรภ์
อาการท้องผูกไม่ได้ขึ้นอยู่กับการรับประทานอาหารเพียงอย่างเดียว
แต่ยังขึ้นอยู่กับฮอร์โมนในร่างกายอีกด้วย
ร่างกายของคุณแม่จะสร้างฮอร์โมนโปรเจสเตอโรนมากขึ้นเป็นพิเศษ
ซึ่งเป็นกลไกการทำงานที่ยอดเยี่ยมของร่างกาย ช่วยให้กล้ามเนื้อส่วนต่างๆ ผ่อนคลาย
ช่วยในการขยายตัวของลูกน้อยในครรภ์ แต่ทั้งนี้
กลไกดังกล่าวก็ส่งผลกระทบต่อลำไส้ด้วย เพราะทำให้อาหารเคลื่อนตัวผ่านลำไส้ช้าลง
นอกจากนี้ อาการท้องผูกระหว่างตั้งครรภ์ยังอาจเกิดจากการที่มดลูกไปเพิ่มแรงกดทับบริเวณลำไส้และลำไส้ใหญ่ ทำให้การเคลื่อนไหวของลำไส้ช้าลงด้วยเช่นกัน
นอกจากนี้ อาการท้องผูกระหว่างตั้งครรภ์ยังอาจเกิดจากการที่มดลูกไปเพิ่มแรงกดทับบริเวณลำไส้และลำไส้ใหญ่ ทำให้การเคลื่อนไหวของลำไส้ช้าลงด้วยเช่นกัน
การกระตุ้นการทำงานของลำไส้
เมื่อต้องการกระตุ้นการเคลื่อนไหวของลำไส้ การเลือกรับประทานอาหารและการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ สามารถช่วยให้ลำไส้เคลื่อนไหวได้ดีขึ้น การรับประทานอาหารที่มีกากใยสูง เป็นสิ่งจำเป็น เช่น ผลไม้ ผักและเมล็ดพืชที่ไม่ผ่านการขัดสี ( whole grains) และควรดื่มน้ำมากๆ เพราะน้ำจะช่วยให้อุจจาระอ่อนนุ่มและเคลื่อนตัวผ่านลำไส้ได้ง่ายขึ้น จึงควรดื่มน้ำให้ได้อย่างน้อยวันละ 6-8 แก้ว และลองดื่มน้ำผลไม้ต่างๆ เสริมด้วย (โดยเฉพาะอย่างยิ่ง น้ำลูกพรุน)
เมื่อคุณมีอาการท้องอืดและท้องผูก คุณอาจรู้สึกไม่อยากออกกำลังกาย แต่การว่ายน้ำ การเดินหรือ การออกกำลังกายเบาๆ 20-30 นาทีต่อวัน เป็นสิ่งที่ทำได้ง่ายๆ และยังช่วยกระตุ้นให้ลำไส้ของคุณทำงานได้ดีขึ้นอีกด้วย หากคุณทานวิตามินเสริมหรือธาตุเหล็กชนิดเม็ดต่างๆ ควรปรึกษาสูติแพทย์หรือพยาบาลผดุงครรภ์ของคุณก่อนว่าสามารถทานได้หรือไม่ เพราะวิตามินและธาตุเหล็กมีส่วนทำให้ลำไส้เคลื่อนไหวช้าลงได้เช่นกัน และควรสอบถามสูติแพทย์หรือพยาบาลผดุงครรภ์ของคุณด้วยว่ายาระบายชนิดใดที่สามารถรับประทานได้อย่างปลอดภัยระหว่างตั้งครรภ์ แม้ว่าคุณอาจไม่จำเป็นต้องใช้มัน แต่การเตรียมยาระบายเก็บไว้ก็อาจมีประโยชน์ในกรณีที่จำเป็นต้องใช้จริงๆ
วันอังคารที่ 7 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555
สาเหตุของอาการปวดหลังระหว่างตั้งครรภ์
ผู้หญิงจำนวนมากมักจะมีอาการปวดหลังระหว่างตั้งครรภ์ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในช่วงสามเดือนหลังก่อนถึงกำหนดคลอด โดยทั่วไป อาการปวดหลังจะเกิดจากการที่น้ำหนักของครรภ์ถ่วงอยู่บริเวณด้านหน้า ทำให้ต้องเกร็งกล้ามเนื้อหลังส่วนล่างมากขึ้น นอกจากนี้ ในขณะที่ร่างกายปรับสภาพเพื่อเตรียมความพร้อมสำหรับการคลอด เส้นเอ็นต่างๆ ของร่างกายจะอ่อนนุ่มขึ้นกว่าปกติ ซึ่งอาจทำให้คุณปวดบริเวณเชิงกราน และอาการปวดอาจลามไปถึงบริเวณก้นกบได้
การป้องกันอาการปวดหลังระหว่างตั้งครรภ์
- ท่วงท่า- ท่วงท่าของคุณมีส่วนสำคัญอย่างยิ่งต่อการป้องกันอาการปวดที่อาจจะเกิดขึ้น ในขณะที่ยืน ลองจินตนาการว่ามีเชือกเส้นหนึ่งผูกอยู่ที่กลางศีรษะและดึงร่างกายคุณให้ตั้งตรง พยายามเก็บท้องและสะโพกกับลำตัว
- การนั่ง- ท่วงท่าในขณะกำลังนั่งหรือนอนก็เป็นสิ่งสำคัญด้วยเช่นกัน พยายามหลีกเลี่ยงการนั่งหลังงอ การรองหลังด้วยหมอนหนุนก็สามารถช่วยคุณได้
- การนอน- ในตอนกลางคืน ให้นอนตะแคงโดยมีหมอนหนุนไว้ระหว่างเข่าเพื่อช่วยให้คุณอยู่ในท่วงท่าที่ถูกต้อง หากต้องการลุกขึ้น ให้ใช้แขนทั้งสองข้างช่วยดันตัวขึ้นและพยุงท้องของคุณเอาไว้ วิธีนี้จะช่วยลดการเกร็งกล้ามเนื้อหลังได้อย่างมากและช่วยป้องกันอาการปวดหลังได้
- รองเท้า- รองเท้าที่สวมใส่สบายก็เป็นสิ่งสำคัญด้วยเช่นกัน ผู้หญิงบางคนชอบใส่รองเท้าพื้นเรียบ ในขณะที่บางคนจะรู้สึกสบายขึ้นเมื่อสวมรองเท้าที่มีส้นเล็กน้อย ขอแค่เพียงสวมใส่รองเท้าที่ทำให้คุณรู้สึกสบายก็พอ
- ออกกำลังกายให้แข็งแรงอยู่เสมอ - สามารถช่วยลดอาการปวดหลังขณะตั้งครรภ์ได้เช่นกัน ลองหาโอกาสเข้าร่วมหลักสูตรฝึกออกกำลังกายสำหรับคุณแม่ตั้งครรภ์ที่อยู่ใกล้บ้าน เช่น การออกกำลังกายในน้ำหรือการฝึกโยคะเพื่อเตรียมความพร้อมก่อนคลอด หรือแม้แต่การว่ายน้ำและการเดินเบาๆ เป็นประจำก็สามารถช่วยได้เช่นกัน
- หลีกเลี่ยงการยกของหนัก - ร่างกายของคุณต้องแบกรับน้ำหนักทารกที่เติบโตขึ้นทุกวันอยู่แล้ว ดังนั้น การยกของหนักจะยิ่งทำให้ร่างกายต้องทำงานหนักมากขึ้นอีก หากคุณจำเป็นต้องยกของจริงๆ ควรจำไว้เสมอว่า ใหย่อเข่าลงและใช้ต้นขาทั้งสองดันตัวเพื่อยืนขึ้น ห้ามก้มแล้วยกโดยเด็ดขาด
การรักษาอาการปวดหลัง
- การหนุนรองครรภ์ –
คลายอาการเกร็งกล้ามเนื้อหลังของคุณด้วยการนอนตะแคงโดยหาหมอนที่มีรูปทรงแบบลิ่ม (
wedge-shaped pillow) หนุนรองไว้ใต้ครรภ์ หากคุณรู้สึกปวดมาก
ให้ลองสวมเข็มขัดพยุงหลังแบบพิเศษระหว่างวันและปรึกษากับพยาบาลผดุงครรภ์ของคุณ
- การประคบร้อนหรือประคบเย็น – แม้ว่า
ว่าที่คุณแม่บางท่านจะชอบใช้วิธีประคบเย็นด้วยถุงน้ำแข็ง (หรือถุงถั่วแช่แข็ง)
แต่ขวดน้ำอุ่นหรือขวดน้ำร้อนก็สามารถช่วยบรรเทาอาการปวดหลังได้เหมือนกัน
- การนวด – การนวดแบบผ่อนคลายสามารถช่วยบรรเทาอาการปวดกล้ามเนื้อได้อย่างไม่น่าเชื่อ เพียงแต่น้ำมันที่ใช้สำหรับนวดแบบทั่วไปอาจไม่เหมาะสำหรับหญิงมีครรภ์ ดังนั้น ควรปรึกษากับนักอโรมาบำบัด ( aromatherapist) หรือสูติแพทย์หรือพยาบาลผดุงครรภ์ของคุณก่อนเพื่อความปลอดภัย
รู้สึกกังวลว่าลูกจะดิ้นเมื่อไร
เวลาที่คนส่วนใหญ่นึกถึงอาการลูกดิ้น มักจะพากันนึกภาพเท้าน้อยๆ
ที่กำลังกระทุ้งท้องแม่ หรือเห็นภาพลูกน้อยกำลังดิ้นอยู่ แน่นอนว่าในช่วงแรกๆ
ลูกน้อยในครรภ์ยังตัวเล็กนิดเดียว และมีพื้นที่ว่างมากพอที่จะเคลื่อนไหวไปรอบๆ
โดยไม่ชนกับท้องของคุณแม่ แต่ที่จริงแล้ว
คุณอาจไม่ทันรู้สึกถึงการเคลื่อนไหวของลูกน้อยในระยะแรกๆ
ของการตั้งครรภ์ด้วยซ้ำไป
เมื่อคุณรู้สึกถึงอาการลูกดิ้นเป็นครั้งแรก ซึ่งโดยทั่วไปลูกจะเริ่มดิ้นในช่วงสัปดาห์ที่ 16 – 20 คุณจะรู้สึกตื่นเต้นและรู้สึกได้อย่างชัดเจนว่าลูกน้อยอยู่ในครรภ์จริงๆ และกำลังเติบโตขึ้นอย่างแข็งแรง แน่นอนว่า การตั้งครรภ์ของว่าที่คุณแม่แต่ละคนย่อมจะแตกต่างกันไปบ้าง เพราะฉะนั้นไม่จำเป็นว่าจะต้องรู้สึกถึงอาการลูกดิ้นตรงตามระยะเวลา รอบการเคลื่อนไหวของลูกน้อยสำหรับว่าที่คุณแม่แต่ละคนจะต่างกันไป
การดิ้นครั้งแรก
เมื่อคุณรู้สึกถึงอาการลูกดิ้นเป็นครั้งแรก ซึ่งโดยทั่วไปลูกจะเริ่มดิ้นในช่วงสัปดาห์ที่ 16 – 20 คุณจะรู้สึกตื่นเต้นและรู้สึกได้อย่างชัดเจนว่าลูกน้อยอยู่ในครรภ์จริงๆ และกำลังเติบโตขึ้นอย่างแข็งแรง แน่นอนว่า การตั้งครรภ์ของว่าที่คุณแม่แต่ละคนย่อมจะแตกต่างกันไปบ้าง เพราะฉะนั้นไม่จำเป็นว่าจะต้องรู้สึกถึงอาการลูกดิ้นตรงตามระยะเวลา รอบการเคลื่อนไหวของลูกน้อยสำหรับว่าที่คุณแม่แต่ละคนจะต่างกันไป
การเคลื่อนไหวของลูกน้อยในระยะสุดท้าย
- สัปดาห์ที่ 24 ถึง 28 – เป็นธรรมดาที่คุณจะรู้สึกว่าลูกน้อยสะอึก ในขณะที่เสียงดังโครมครามจะไม่เป็นอันตรายต่อลูกน้อย แต่อาจทำให้ลูกน้อย ' สะดุ้ง ' ได้
- ช่วงสัปดาห์ที่ 29 – ภายในมดลูกจะเริ่มมีการบีบตัวขึ้นเล็กน้อย ดังนั้นลูกน้อยในครรภ์อาจมีการเคลื่อนไหวน้อยลง แต่อาจรู้สึกว่าเด็กดิ้นแรงขึ้น
- ช่วงสัปดาห์ที่ 32 – ลูกน้อยในครรภ์อาจเคลื่อนไหวมากยิ่งขึ้นก่อนที่จะเริ่มกลับหัว (เด็กควรจะกลับหัวลง) ในช่วงสัปดาห์ที่ 36 เนื่องจากพื้นที่ว่างในครรภ์จะเริ่มแคบลงเรื่อยๆ และลูกน้อยเริ่มแข็งแรงมากขึ้น คุณอาจรู้สึกได้ว่าการเคลื่อนไหวของลูกน้อยเป็นไปอย่างลำบากมากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งเวลาที่ลูกน้อยเตะชายโครง
- สัปดาห์ที่ 36 ถึง 40 – โดยปกติคุณแม่จะรู้สึกว่าลูกดิ้นน้อยลงเมื่อใกล้ครบกำหนดคลอด ดังนั้นไม่ต้องกังวลเมื่อลูกน้อยเคลื่อนไหวน้อยลง แต่การรู้สึกถึงการเคลื่อนไหวของลูกน้อยยังคงเป็นสิ่งที่สำคัญอย่างยิ่ง การเคลื่อนไหวประมาณ 10 ครั้ง ในช่วง 24 ชั่วโมง ถือว่าอยู่ในเกณฑ์ปกติ
วันจันทร์ที่ 6 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555
หากคุณสงสัยว่ากำลังตั้งครรภ์ ลองตรวจสอบสัญญาณเริ่มต้นได้ที่นี่ค่ะ
ประจำเดือนขาด
นับเป็นสัญญาณเริ่มต้นที่ชัดเจนที่สุด หากปกติแล้วประจำเดือนของคุณมักมาตรงเวลา
ควรลองทดสอบ การตั้งครรภ์ได้แล้ว
แพ้ท้อง สัญญาณบ่งบอกว่าคุณตั้งครรภ์
ปัสสาวะบ่อยขึ้น
รู้สึกเหนื่อยง่ายหรือเปล่า
รสชาติแปลกๆ ในปาก
การเปลี่ยนแปลงของเต้านม
มีเลือดออกโดยไม่คาดคิดหรือเป็นตะคริว
ตรวจสอบให้แน่ใจด้วยการทดสอบการตั้งครรภ์
วันอาทิตย์ที่ 5 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555
เรียนรู้วงจรการตกไข่
|
|
วันเสาร์ที่ 4 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555
การหมั่นดูแลสุขภาพช่วยเพิ่มโอกาสการตั้งครรภ์ได้อย่างไร
การเตรียมร่างกายของคุณให้พร้อมสำหรับการมีลูกนั้นไม่ใช่เรื่องยุ่งยากอย่างที่คิด เพียงแค่ดูแลตัวเองและเตรียมร่างกายให้พร้อมสำหรับการให้กำเนิดและการเติบโตของชีวิตน้อยๆ ส่วนคู่รักของคุณ เพียงแค่แน่ใจว่าอสุจิของเขาแข็งแรงพอที่จะวิ่งไปถึงเส้นชัยก็พอแล้ว
ตรวจสอบร่างกาย
ในการเตรียมตัวเพื่อตั้งครรภ์ ก่อนอื่นคุณควรตรวจสอบสุขภาพร่างกายสักเล็กน้อยดังนี้
การสูบบุหรี่:
การสูบบุหรี่เป็นการลดโอกาสการตั้งครรภ์ลงอย่างมาก ไม่เพียงแต่อันตรายที่อาจเกิดขึ้นกับพัฒนาการของทารกในครรภ์ แต่ยังเป็นการเพิ่มความเสี่ยงของการแท้งหรือการตั้งครรภ์นอกมดลูกอีกด้วย เพราะฉะนั้น หากว่าคุณสูบบุหรี่ ก็ควรพยายามเลิกเสียแต่วันนี้ โดยอาจขอคำปรึกษาจากแพทย์ประจำตัวเพื่อช่วยให้คุณเลิกได้ง่ายขึ้น
อาหารและการออกกำลังกาย:
การมีน้ำหนักมากหรือน้อยเกินไปอาจส่งผลกระทบต่อทารกในครรภ์ เพราะฉะนั้นควรออกกำลังกายและรับประทานอาหารที่หลากหลายอย่างเหมาะสมเพื่อช่วยให้ร่างกายอยู่ในสภาพพร้อมเต็มที่สำหรับการตั้งครรภ์ลูกน้อย
หากเป็นไปได้ควรหลีกเลี่ยงอาหารสำเร็จรูปหรืออาหารที่มีไขมันหรือน้ำตาลมากเกินไป นอกจากนี้ ควรให้ความสำคัญกับอาหารที่มีคุณค่าดังนี้
ทานผักและผลไม้มากๆ หรืออย่างน้อย 5 ส่วนต่อวันและควรเลือกทานผักและผลไม้หลากหลายสีสัน
ทานอาหารประเภทแป้งให้เพียงพอ เช่น ขนมปัง พาสต้า ข้าว (ถ้าเป็นข้าวกล้องหรือขนมปังโฮลเกรน จะยิ่งดีเพราะมีโฟเลตสูง) ข้าวโอ๊ต และมันฝรั่ง
ทานอาหารประเภทโปรตีนทุกมื้อ เช่น หมูหรือไก่ไม่ติดมัน ปลา (สัปดาห์ละสองครั้ง) นม ไข่ ผลไม้ที่มีเปลือกแข็ง (เช่น เม็ดมะม่วงหิมพานต์ อัลมอนด์) เมล็ดพืชและถั่ว (เช่น ถั่วเขียว ถั่วแดง)
วิตามินเสริม:
หากคุณรับประทานอาหารอย่างเพียงพอและเหมาะสมแล้ว ก็อาจไม่จำเป็นต้องทานวิตามินเสริมอีกก็ได้ แต่หากต้องการทาน ควรสอบถามให้แน่ใจว่าวิตามินเหล่านั้นเหมาะสำหรับสตรีที่เตรียมตัวตั้งครรภ์หรือไม่ โดยทั่วไปวิตามินเสริมที่รับประทานเป็นประจำ มักมีส่วนผสมของวิตามินเอ ซึ่งอาจเป็นอันตรายได้หากรับประทานมากเกินไป
กรดโฟลิค:
กรดโฟลิคมีความสำคัญมากเพราะช่วยป้องกันความบกพร่องในการเติบโตของอวัยวะต่างๆ ของทารก เช่น โรคกระดูกไขสันหลังผิดปกติ ( Spina Bifida) กรดโฟลิคมีในอาหารหลายประเภท เช่น ซีเรียล กล้วย และผักใบเขียว แต่อาจเป็นเรื่องยากที่คุณแม่จะรับประทานกรดโฟลิคให้ได้ถึง 400 ไมโครกรัมต่อวัน อันเป็นปริมาณที่คุณแม่ควรได้รับขณะตั้งครรภ์ด้วยเหตุนี้ ขอแนะนำให้คุณทาน โฟลิคเอซิดเสริม ในช่วงตั้งครรภ์แทน และจะเป็นการดีถ้าคุณเริ่มรับประทานโฟลิคเอซิดเสริมเสียแต่ตอนนี้ จนถึงสัปดาห์ที่ 12 ของการตั้งครรภ์
การใช้ยา:
ยาบางชนิดอาจลดโอกาสการตั้งครรภ์ ดังนั้นคุณควรปรึกษาแพทย์หากจำเป็นต้องรับประทานยา หรือหากเคยคุมกำเนิดด้วยการใช้ห่วงอนามัยหรือยาคุมกำเนิด เช่น ยา Depro-Provera หรือ Norplant หรือเคยทำหมันมาก่อนก็มีส่วนลดโอกาสในการตั้งครรภ์เช่นกัน หากคุณเคยรับประทานยาคุมกำเนิดติดต่อกัน-ก่อนหน้านี้ ควรปล่อยให้ร่างกายได้พักและปรับตัวสักสองสามเดือนก่อนจะเริ่มเตรียมตัวตั้งครรภ์ ทั้งนี้ ควรปรึกษาแพทย์ในเรื่องนี้ด้วยเช่นกัน
ความเครียด:
วิถีชีวิตในปัจจุบันมักเคร่งเครียด ซึ่งอาจส่งผลต่อโอกาสในการตั้งครรภ์ได้ ดังนั้นคุณควรพยายามทำใจให้สบายและเครียดให้น้อยที่สุด (แม้จะเป็นเรื่องยากสักนิด)
คุณรู้หรือไม่
ผ่อนคลายและสนุกกับการเตรียมตัว
คำแนะนำที่ดีที่สุดสำหรับคู่รักทุกคู่ก็คือ
ผ่อนคลายและสนุกกับการเตรียมตัวเพื่อมีลูกน้อย
เพราะบางครั้งธรรมชาติก็ไม่ต้องการการเร่งรัดหรือกดดันมากเกินไปนัก
ดังนั้นจะเป็นการดีอย่างยิ่ง หากคุณทั้งคู่มีสัมพันธ์รักที่ดีตลอดเดือน ที่สำคัญ ไม่ควรตั้งเป้าเพื่อการมีลูกอย่างเดียวนั้น เพราะจะสร้างความกดดันแก่ทั้งสองฝ่าย ควรผ่อนคลายให้เป็นไปตามธรรมชาติจะดีที่สุด
เปิดโอกาสให้คู่รักได้มีส่วนร่วม
อย่าลืมว่าโอกาสที่จะตั้งครรภ์นั้นไม่ได้ขึ้นอยู่กับคุณเพียงฝ่ายเดียว คู่ของคุณก็มีบทบาทสำคัญเช่นกัน และเขาสามารถมีส่วนช่วยได้ด้วยการ
- ไม่สูบบุหรี่และหลีกเลี่ยงการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์มากเกินไป
- ดื่มเครื่องดื่มประเภทคาเฟอีนให้น้อยลง
- ผ่อนคลายและลดความเครียด
- พยายามอยู่ห่างจากสภาพแวดล้อมการทำงานที่เป็นอันตราย: เพราะสารเคมีบางอย่างมีผลกระทบต่ออสุจิ
- ป้องกันไม่ให้ “ของสำคัญ” ร้อนและอับเกินไป: คนรักของคุณควรสวมใส่กางเกงชั้นในผ้าฝ้ายที่สบายตัว และกางเกงของเขาไม่ควรรัดแน่นจนเกินไป
ส่งเสริมให้คนรักรับประทานอาหารที่มีประโยชน์: การทานผักและผลไม้มากๆ จะช่วยให้ร่างกายได้รับวิตามินและแร่ธาตุต่างๆ รวมทั้งวิตามินซีที่เพียงพอ ซึ่งจำเป็นต่อการผลิตอสุจิที่แข็งแรง เขาควรทานอาหารที่มแร่ธาตุสังกะสี เช่น อาหารทะเล อาหารสดที่ไม่ผ่านการแปรรูป เนื้อสัตว์ ไข่ และขนมปังข้าวไรย์ สามารถช่วยเพิ่มความเป็นชายได้มากขึ้น และผลิตภัณฑ์จากนมที่มีแคลเซียมเป็นส่วนประกอบ เนื้อวัวและถั่วที่มีธาตุเหล็กก็ควรมีอยู่ในเมนูอาหารประจำวันด้วยเช่นกัน
วันพฤหัสบดีที่ 2 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555
โภชนาการเด็กวัยเตาะแตะ
ข้อมูลโภชนาการเด็กวัยเตาะแตะ (อายุ 1-3 ปี) และเด็กเล็ก (อายุ 3-5 ปี)
เด็กในวัยกำลังโตต้องการพลังงาน (แคลอรี) และสารอาหารอื่นในปริมาณมากเพื่อที่จะมีการเจริญเติบโตและพัฒนาการที่ดี- มีหลักฐานว่าเด็กอายุต่ำกว่า
5 ขวบอาจได้รับอาหารที่ไม่เหมาะสม โดยเป็นอาหารที่
- หวานจัดจนเป็นอันตรายต่อสุขภาพฟัน
- มีวิตามินและแร่ธาตุต่ำ เช่น วิตามินเอและดี รวมทั้งธาตุเหล็กและสังกะสี
- การให้เด็กรับประทนอาหารครบทุกหมู่จะช่วยให้เด็กได้รับสารอาหารครบถ้วนเพียงพอตามความต้องการ
อาหารสำหรับเด็กวัยเตาะแตะ
- เมื่อลูกก้าวพ้นจากวัยทารกเข้าสู่วัยหัดเดินก็พร้อมแล้วที่จะรับประทานอาหารครอบครัว แต่ในช่วงแรกอาจยังต้องฉีกอาหารให้เป็นชิ้นเล็กเสียก่อน
- จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องปรุงอาหารให้เหมาะสำหรับเด็กรับประทาน โดยจำกัดปริมาณเกลือ น้ำตาล เครื่องปรุงรสเผ็ดจัดให้น้อยที่สุด
- นมยังคงเป็นส่วนสำคัญในอาหารสำหรับเด็กวัยเตาะแตะ แต่เด็กวัยนี้จะมีความต้องการนมลดลงเหลือวันละประมาณ 350 มิลลิลิตร หรือเทียบเท่ากับผลิตภัณฑ์จากนม 2-3 ส่วนบริโภค
- หากลูกได้รับประทานอาหารที่หลากหลายและมีคุณค่าทางโภชนาการครบถ้วนก็สามารถให้เด็กดื่มนมวัวไขมันเต็มส่วนเป็นเครื่องดื่มหลักภายหลังเด็กอายุครบหนึ่งขวบ
- หากลูกรับประทานได้น้อยก็อาจเสริมด้วยนมสูตรสำหรับเด็กวัยเตาะแตะ เพื่อช่วยให้เด็กได้รับสารอาหารครบถ้วนในแต่ละวัน
- ลูกควรรับประทานอาหารแต่ละหมู่ได้หลากหลาย โดยควรให้เด็กได้รับประทาน
- อาหารจำพวกคาร์โบไฮเดรตวันละ 4 ส่วนบริโภค
- อาหารผลิตภัณฑ์นมวันละ 2-3 ส่วนบริโภค (รวมถึงนม)
- เนื้อสัตว์หรืออาหารทดแทนเนื้อสัตว์วันละ 1-2 ส่วนบริโภค
- ผักและผลไม้วันละ 5 ส่วนบริโภค
ความต้องการด้านโภชนาการของเด็กวัยเตาะแตะและเด็กเล็ก
พลังงาน- เด็กวัยเตาะแตะและเด็กเล็กจำเป็นต้องใช้พลังงาน (แคลอรี) ในการทำกิจกรรม รวมถึงนำไปสนับสนุนการเติบโตและพัฒนาการที่ดี
- ร่างกายได้รับพลังงานส่วนใหญ่จากไขมันและคาร์โบไฮเดรต และบางส่วนได้รับจากโปรตีน
- โปรตีนเป็นสารอาหารที่จำเป็นสำหรับกระบวนการเจริญเติบโตและซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอ รวมทั้งสร้างเอนไซม์ที่มีบทบาทสำคัญในกระบวนการของร่างกาย
- เด็กมีความต้องการโปรตีนสูงกว่าผู้ใหญ่
ไขมัน
- ไขมันบางตัวมีความจำเป็น และเป็นแหล่งของกรดไขมันที่ร่างกายต้องการ
- ไขมันในอาหารยังเป็นแหล่งของวิตามินที่ละลายในไขมัน เช่น วิตามินเอ ดี และอี
- เด็กจำเป็นต้องได้รับไขมันมากกว่าผู้ใหญ่ เนื่องจากร่างกายต้องการพลังงานสำหรับการเจริญเติบโตและมีพัฒนาการตามวัย อย่างไรก็ดีสำหรับเด็กตั้งแต่ 5 ขวบขึ้นไปควรรับประทานไขมันไม่เกินร้อยละ 35 ของพลังงานที่ได้จากอาหาร
- กรดไขมันโอเมกา 3 พบในปลาไขมันสูง ดังนั้นจึงควรรับประทานให้ได้สัปดาห์ละ 1-2 ครั้ง
คาร์โบไฮเดรต
- คาร์โบไฮเดรตได้จากอาหารจำพวกแป้งและน้ำตาล
- แป้งเป็นส่วนประกอบหลักในซีเรียล เมล็ดพืช ธัญพืช และผักกินหัว
- ในช่วง 5 ขวบเด็กควรได้รับคาร์โบไฮเดรตในสัดส่วนร้อยละ 40 ของพลังงานที่ได้จากอาหาร
- เด็กเล็กไม่จำเป็นต้องได้พลังงานจากของหวาน รวมทั้งควรจำกัดการอาหารที่มีส่วนผสมของน้ำตาลและน้ำผึ้ง
ใยอาหาร
- ใยอาหารเป็นส่วนประกอบในซีเรียลและผัก ใยอาหารซึ่งจะเปลี่ยนสภาพเป็นกากอาหารในลำไส้เล็กจะช่วยป้องกันท้องผูกและความผิดปกติของลำไส้
- ใยอาหารอาจทำให้ลูกอิ่มเร็วและทำให้รับประทานอาหารอื่นได้น้อย ดังนั้นจึงไม่ควรให้รับประทานมากเกินไป
วิตามินและแร่ธาตุ
- วิตามินเป็นสารประกอบอินทรีย์เชิงซ้อนซึ่งร่างกายต้องการในปริมาณน้อย แต่ก็มีบทบาทสำคัญในหลายกระบวนการของร่างกาย
- แร่ธาตุเป็นสารประกอบอนินทรีย์อันมีบทบาทหลายอย่าง
- อาหารแต่ละอย่างมีวิตามินและแร่ธาตุแตกต่างกัน การรับประทานอาหารที่หลากหลายจะช่วยให้ได้รับสารอาหารที่ครบถ้วนเพียงพอกับความต้องการ
- ควรตระหนักถึงข้อมูลสำคัญด้านโภชนาการ เช่น ความสำคัญของธาตุเหล็กและการเสริมวิตามิน คลิกที่นี่ เพื่อติดตามข้อมูลเพิ่มเติมในหัวข้อ ‘โภชนาการเป็นสิ่งสำคัญ'
ช่วย ให้เด็กเล็กมีโภชนาการที่ดี
- เด็กเล็กจำเป็นต้องรับประทานอาหารแต่ละหมู่ให้หลากหลายเพื่อให้ได้สารอาหารเพียงพอตามความต้องการ
- ติดตามข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับการรับประทานอาหารแต่ละหมู่ให้หลากหลายโดย คลิกที่นี่ เพื่อนำท่านไปสู่หัวข้อ ‘รับประทานอาหาร 5 หมู่'
- นมสำหรับเด็กวัยเตาะแตะเป็นนมสูตรพิเศษที่พัฒนาขึ้นให้สอดคล้องกับความต้องการสารอาหารของเด็ก รวมทั้งยังได้เสริมธาตุเหล็ก วิตามิน และแร่ธาตุที่สำคัญ ซึ่งจะเป็นประโยชน์สำหรับเสริมโภชนาการในเด็กเล็ก
วันพุธที่ 1 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555
ปริมาณนมที่ลูกต้องการในช่วงการให้อาหารเสริมตามวัยและชนิดของนมที่เหมาะสม
นม
ยังคงมีบทบาทสำคัญช่วยให้ลูกได้รับสารอาหารที่จำเป็นครบถ้วนตลอดช่วงวัยเด็ก
เมื่อลูกรับประทานอาหารแข็งได้มากขึ้นปริมาณนมที่เขาดื่มก็จะเริ่มลดลง อย่างไรก็ดีควรเริ่มอย่างค่อยเป็นค่อยไปตามปริมาณที่แนะนำ นอกจากนี้ยังช่วยลูกให้ทานอาหารเสริมได้โดยใช้วิธีผสมนมแม่หรือนมผงในอาหารเสริม เช่น อาหารธัญพืชหรือปรุงเป็นส่วนผสมในซอส
ปริมาณที่เหมาะสม
ในช่วงเริ่มการให้อาหารเสริมตามวัยนั้นลูกควรได้นมวันละ 500-600 มิลลิลิตรจนถึงอายุครบขวบ หลังจากนั้นปริมาณที่ลูกต้องการจะเริ่มลดลงเหลือวันละราว 350 มิลลิลิตรเมื่อลูกรับประทานอาหารแข็งได้มากขึ้นปริมาณนมที่เขาดื่มก็จะเริ่มลดลง อย่างไรก็ดีควรเริ่มอย่างค่อยเป็นค่อยไปตามปริมาณที่แนะนำ นอกจากนี้ยังช่วยลูกให้ทานอาหารเสริมได้โดยใช้วิธีผสมนมแม่หรือนมผงในอาหารเสริม เช่น อาหารธัญพืชหรือปรุงเป็นส่วนผสมในซอส
ชนิดของนมที่เหมาะสม
- นมแม่ยังคงเหมาะสมสำหรับทารกในช่วงการเริ่มให้อาหารเสริม
- ไม่ควรให้นมวัวเป็นเครื่องดื่มสำหรับเด็กที่อายุยังไม่ครบ 12 เดือน เนื่องจากนมวัวมีธาตุเหล็กและวิตามินบางตัวในปริมาณน้อย แต่สามารถให้เด็กรับประทานนมวัวได้โดยนำมาใช้เป็นวัตถุดิบประกอบอาหาร
- นมวัวที่ให้ลูกดื่มในช่วงหนึ่งขวบถึงสองขวบควรเป็นนมซึ่งมีไขมันเต็มส่วน ไม่ควรให้เด็กดื่มนมพร่องมันเนยจนกว่าจะอายุครบสองขวบ และไม่ควรให้เด็กดื่มนมขาดมันเนยจนกว่าจะอายุครบห้าขวบ
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)