วันพุธที่ 4 มกราคม พ.ศ. 2555

ลูกน้อยเป็น “ผด” หรือเป็น “ผื่น” กันแน่

ผดผื่น ปัญหาของเจ้าตัวน้อยที่คุณแม่ต้องบอกว่าหนีไม่พ้นกันเลยทีเดียว ผดผื่นเป็นตัวการสำคัญที่ทำให้เจ้าตัวน้อยงอแงเพราะไม่สบายตัว หากเป็นนานๆ อาจกลายเป็นโรคผิวหนังเรื้อรังได้ ซึ่งอาจทำให้ลูกน้อยของคุณเครียด และอาจส่งผลต่อการเรียนรู้และพัฒนาการของลูกน้อย แต่คุณแม่รู้หรือไม่ว่า “ผด” กับ “ผื่น” นั้นต่างกันอย่างไร วันนี้แคร์ก็เลยอยากนำความรู้เกี่ยวกับผดผื่นมาให้คุณแม่ได้อ่านกันค่ะ

โดยทั่วไปแล้วเรามักเรียกเจ้าตุ่มแดงๆ หรือผื่นแดงๆ ที่เกิดบนผิวรวมกันเป็นคำเดียวว่า “ผดผื่น” แต่ความจริงแล้ว “ผด” กับ “ผื่น” มีความแตกต่างที่สามารถแยกออกได้ด้วยตาเปล่า และเกิดจากสาเหตุที่ต่างกัน หากคุณแม่ไม่ทราบว่าเจ้าตุ่มแดงๆ บนผิวของลูกน้อยเป็นผดหรือผื่น คุณแม่ก็อาจจะรักษาหรือหลีกเลี่ยงอย่างไม่ถูกต้อง หรือเกาไม่ถูกที่คันนั่นเอง ถ้าอย่างนั้นแล้วเรามาดูกันนะคะว่า “ผด” กับ “ผื่น” ต่างกันอย่างไร มีสาเหตุ และป้องกันได้อย่างไร่

เรื่องของผด (Prickly Heat)

ผดเด็กเกิดจากการอุดตันของต่อมเหงื่อ ยิ่งหน้าร้อนแบบนี้ เจ้าตัวน้อยอาจเกิดผดขึ้นได้ง่ายๆ เนื่องจากร่างกาย ต้องการ ระบายความร้อน แต่ไม่สามารถขับเหงื่อออกมาได้ ทำให้เกิดผด ซึ่ง “ผด” แบ่งได้เป็น 3 ชนิดคือ

1) ผดใส ลักษณะเป็นตุ่มใสขนาดเล็ก มักจะเกิดบริเวณข้อพับต่างๆ เกิดจากการอุดตันของเหงื่อบริเวณผิวหนังชั้นบนสุด
2) ผดแดง เป็นผดที่เกิดได้บ่อยที่สุด มีลักษณะเป็นเม็ดเล็กๆ เป็นหย่อมๆ มักเกิดที่หน้าผาก โดยเฉพาะถ้าลูกน้อยผมปกหน้าผดแดงจะขึ้นได้ง่าย บริเวณหลังก็มักจะพบผดแดงเช่นกัน โดยปกติมักจะมีอาการคัน หากเกิดขึ้นที่ใบหน้า บางคนเรียกว่า “ผดสิว”
3) ผดลึก เป็นตุ่มสีขาวๆ ออกจะแข็งๆ สักหน่อย ที่เรียกว่าผดลึกเนื่องจากเกิดจากการอุดตันของเหงื่อในผิวหนังส่วนที่ลึกลงไป พบได้บ่อยบริเวณแขน ขา และลำตัว

ผดทั้งสามชนิดเกิดจากสาเหตุหลักๆ คือ อากาศร้อนนั่นเอง ยิ่งหากคุณแม่ชอบแต่งตัวให้ลูกเยอะๆ ด้วยเสื้อผ้าที่หนาๆ ก็ยิ่งทำให้เกิดผดได้ง่าย ความอับชื้น ความเปียกชื้น ก็เป็นอีกสาเหตุของการเกิดผด ดังนั้นการเลือกเสื้อผ้าให้ลูกน้อยควรเป็นเสื้อผ้าที่ระบายอากาศได้เป็นอย่างดี เพื่อป้องกันความอับชื้น การใช้แป้งทาตัวเป็นการช่วยลดการเกิดผดได้

เรามารู้จัก “ผื่น” หรือ Rash กันบ้างดีกว่า

ผื่น มักเริ่มจากการเป็นตุ่มแดงๆ หากเกา ผื่นอาจจะนูนหนาขึ้น และอาจจะลามเป็นวงกว้าง จนกลายเป็นหนองหรือผิวหนังอักเสบ ผื่นมักเกิดขึ้นเมื่อมีสิ่งมากระตุ้น เกิดได้จากอาการแพ้ทั้งทางกรรมพันธุ์และสภาพแวดล้อม นอกจากนี้ผื่นยังเกิดได้จากหลายสาเหตุ เช่น ผื่นแพ้ยา ผื่นผ้าอ้อม ผื่นแพ้กลากน้ำนม ผื่นแพ้จากยุงกัด อากาศร้อน หรือผื่นผิวหนัง อาการผื่นแพ้ที่พบมากในเด็ก ก็คือผื่นผ้าอ้อม โดยเกิดอาการระคายเคืองบริเวณ ที่ใส่ผ้าอ้อม เกิดจากการสะสมของเหงื่อหรือปัสสาวะของลูกน้อย ทำให้เกิดความเปียกชื้น เกิดอาการระคายเคือง และทำให้เกิดผื่นในที่สุด อาการผื่นมักจะหายไปเองภายใน 3-7 วัน ทั้งนี้ คุณแม่เองสามารถช่วยดูแล ในเบื้องต้นได้ เริ่มจากสังเกตว่าลูกแพ้เนื่องจากอะไร และพยายามงดใช้สิ่งนั้นๆ เช่น แพ้ผ้าอ้อม แพ้น้ำยาซักเสื้อผ้า และพยายามป้องกันไม่ให้ลูกเกา เพื่อป้องกันการ อักเสบหรือแผลติดเชื้อ และดูแลผิวลูกให้มีความชุ่มชื่นสม่ำเสมอ เลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่อ่อนโยนต่อผิว แต่หากผ่านไปหนึ่งสัปดาห์แล้วพบว่าอาการยังไม่ดีขึ้น หรือมีแววว่าผื่นเริ่มจะลุกลาม คุณแม่ควรพาลูกน้อยไปปรึกษาแพทย์เพื่อหาสาเหตุที่แท้จริงทันทีค่ะ

เอาล่ะค่ะ ตอนนี้คุณแม่ก็คงจะเริ่มแยกออกแล้วใช่ไหมค่ะ ว่าอะไรคือผด อะไรคือผื่น หากคุณแม่สังเกตเห็นตุ่มขึ้นตามตัวลูก ก็ค่อยๆ พิจารณาดูว่าเป็นผดหรือผื่น ลองสังเกตดูว่าน่าจะเกิดจากสาเหตุใด หากเกิดขึ้นจากความเปียกชื้น หรืออากาศร้อนอับชื้น คุณแม่ก็สามารถดูแลลูกน้อย ด้วยตัวเองได้ โดยนอกจากเลือกเสื้อผ้าที่สวมใส่สบายไม่สร้างความอับชื้น การเลือกผลิตภัณฑ์ สำหรับเด็กที่มีความอ่อนโยนต่อผิวก็มีความสำคัญ เพราะผิวเด็กบอบบาง และต่อมเหงื่อยังทำงานไม่เต็มที่ แคร์ขอแนะนำให้คุณแม่เลือกสบู่อาบน้ำที่อ่อนละมุน ไม่มีน้ำหอม และ ไม่เหนียวเหนอะหนะ มีส่วนผสมของไฮโปอัลเลอเจนิก ที่ไม่ทำให้เกิดอาการแพ้หรือระคายเคือง หลังอาบน้ำก็เช็ดตัวให้สะอาด หรือคอยซับด้วยผ้านุ่มๆ ทาแป้งเพื่อ ดูดความอับชื้น โดยเลือกแป้งเด็กที่มีส่วนผสมของฮายขมิ้นเพื่อช่วยลดผดผื่นเด็กทารก ที่เกิดจากความเปียกชื้น นะคะ

ไม่มีความคิดเห็น: